วันนี้ (25 มีนาคม) แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขึ้นชี้แจงครั้งที่ 2 ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจวันที่ 2 ว่า เป็น 2 วันที่ตนได้ยินชื่อตัวเองมากที่สุดในชีวิต และคิดว่าทุกคนได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ อะไรที่เป็นเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์ ก็จะมีประโยชน์กับประชาชน อะไรที่กระทบกระทั่งก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ แต่เชื่อว่าเราจะสามารถทำงานร่วมกันต่อไปได้
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ผู้นำฝ่ายค้านได้เน้นย้ำในเรื่องของภาวะผู้นำและการครอบงำ ถือเป็นการย้ำเรื่องเดิมๆ ไม่แน่ใจว่าเป็นสิ่งที่ตัวเองขาดอยู่หรือไม่ เพราะไม่ใช่แค่ตนเองที่ถูกกล่าวหาว่าครอบงำโดยคุณพ่อ (ทักษิณ ชินวัตร) แต่ท่านก็ถูกกล่าวหาว่าครอบงำโดยคนที่ไม่ใช่พ่อ ส่วนตัวคิดว่าไม่อยากให้ใครพูดแบบนี้ ตนเคารพและให้เกียรติผู้นำฝ่ายค้าน รวมถึงไม่เคยสงสัยในภาวะผู้นำของท่าน
เราอายุใกล้เคียงกันและเส้นทางทางการเมืองมีความคล้ายกัน กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้ก็เจอชะตากรรม และถูกกระทำจากพรรคการเมืองมาจนถึงวันนี้ ซึ่งหากตนไม่ถูกกระทำในวันนี้ อาจมีนายกรัฐมนตรีชื่อทักษิณก็ได้ และพรรคของท่านอาจมีหัวหน้าพรรคที่ชื่อ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ดังนั้นขอให้ท่านทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด และขออย่าด้อยค่าคนอื่น
นายกรัฐมนตรียังกล่าวอีกว่า การที่ตนเป็นลูกของทักษิณถูกปรามาสตั้งแต่เป็นนิสิตนักศึกษา จนถึงวันนี้ที่เป็นนายกรัฐมนตรีก็ถูกกล่าวหาจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร และไม่ใช่เรื่องเสียหายที่ตนจะนำคำแนะนำของทักษิณมาพิจารณาและปรับใช้ เพราะท่านมีความรู้ความสามารถและเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ หากความคิดของท่านจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชนก็ถือเป็นสิ่งที่ดี ขณะเดียวกันหลายท่านที่ถูกตัดสิทธิทางการเมืองและถูกยุบพรรค ก็ยังเห็นเดินหน้าทำงานด้านการเมือง ด้านนโยบาย และการลงพื้นที่หาเสียง ทำไมทักษิณถึงเป็นคนเดียวที่เป็นประเด็น หรือทักษิณโดนตัดสิทธิยกกำลังสอง
ส่วนประเด็นการส่งชาวอุยกูร์กลับจีนนั้น นายกรัฐมนตรีระบุว่า ขณะนี้ยังไม่มีกฎหมายของผู้หนีภัย และเมื่อมีการลักลอบเข้าเมืองจะยึดหลักมนุษยธรรมและสิทธิมนุษยชน การขังชาวอุยกูร์ไว้ 10 ปี และมีประเทศจีนซึ่งเป็นต้นทางมาขอรับตัว และมาประสานโดยที่ไม่มีประเทศอื่นหรือประเทศที่สาม มาขออย่างเป็นทางการ เราจึงได้ขอให้ประเทศจีนแสดงความจริงใจโดยทำหนังสือออกมา ถือเป็นพันธสัญญาต่อประชาคมโลก ทำให้ต้องรีบส่งชาวอุยกูร์กลับไปเชื่อว่าวิธีนี้เป็นวิธีที่ดีที่สุดสำหรับประเทศไทย และเมื่อ 5 วันที่แล้ว ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ได้เดินทางไปจีนเพื่อดูชีวิตความเป็นอยู่ของชาวอุยกูร์
ส่วนที่พรรคฝ่ายค้านสอบถามว่าชาวอุยกูร์สมัครใจหรือไม่ และรัฐบาลไม่ทำตามใจชาวอุยกูร์ นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า สิ่งแรกที่ตนคิด คือคนไทยต้องการอะไร และอะไรดีที่สุดสำหรับประเทศไทย ซึ่งคณะรัฐมนตรีทั้งหมดต้องปรึกษากันว่าอะไรคือประโยชน์สูงสุดของประเทศไทยเมื่อส่งชาวอุยกูร์กลับไป ฉะนั้นเมื่อกลับไปและปลอดภัยก็เป็นสิ่งที่ดีกว่าการถูกกักในที่คุมขังนับ 10 ปี
ส่วนที่บางประเทศออกมาประณามไม่ยอมรับ ยืนยันว่าเราเคารพทุกความคิดเห็น ซึ่งต้องใช้เวลาในการอธิบาย แต่เชื่อว่าทุกประเทศจะเข้าใจ และไม่แปลกที่ประเทศต่างๆ จะคิดไปต่างๆ นานาซึ่งไม่ผิด เพราะไม่มีใครทราบว่าไทยกับจีนหารืออะไรกันและมีหนังสือรับรอง ซึ่งทำให้จีนถูกมองไม่ดีในสายตาคนอื่น
ส่วนกรณีที่มีการกล่าวหารัฐบาลในเรื่องนี้ อยากถามว่าได้เปิดตามองในทุกมิติของโลกแล้วหรือไม่ หรือนักสิทธิมนุษยชนมีสองมาตรฐานสำหรับรัฐบาลนี้โดยเฉพาะ เพราะเท่าที่จำได้ไม่มีนโยบายของพรรคการเมืองไหนเกี่ยวกับผู้ลี้ภัย จึงขอท่านใช้โอกาสในเวทีนี้ประกาศเลยว่า จะทำตามที่ผู้ลี้ภัยต้องการในทุกกรณีเพื่อให้ประชาชนรับฟัง
นายกรัฐมนตรียังกล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าเป็นนโยบายของพรรคเพื่อไทยที่ตอนนั้นเราเป็นฝ่ายค้านร่วมด้วยกัน และลงสัตยาบันร่วมกันในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หลายหนแต่ไม่สำเร็จ และเมื่อเรามาเป็นรัฐบาล จึงได้แถลงนโยบายนี้ต่อรัฐสภาโดยไม่แตะหมวด 1 หมวด 2 แต่มีความซับซ้อนและทำให้การแก้ไขเป็นไปได้ยาก ทั้งจากพรรคร่วมรัฐบาลและสมาชิกวุฒิสภา รวมถึงการทำประชามติและจำนวนครั้งในการดำเนินการ
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า เราพยายามเดินไปข้างหน้า ขณะที่ท่านเรียกร้องให้ตนมีภาวะผู้นำ ก็พยายามทำมาตลอดเวลาและหารือกับพรรคร่วมรัฐบาลในทุกนโยบาย เพื่อแสวงหาจุดร่วมและสงวนจุดต่างให้ชัดเจน จนมีมติเห็นชอบร่วมกันในการยื่นศาลรัฐธรรมนูญ แม้จะช้าและไม่ทันใจแต่ก็เป็นโอกาสของความสำเร็จ
ทั้งนี้ ส่วนตัวเป็นผู้นำที่มีความอดทนเพราะมีพรรคร่วมหลายพรรค และต้องมีเหตุผล ความจริงใจ หากจะไม่ให้ตนเป็นผู้นำในลักษณะนี้ ต้องดันทุรังและพังทุกรอบ ก็จะไม่เป็นผลสำเร็จและไม่เกิดผลดีต่อรัฐบาล
นายกรัฐมนตรียังกล่าวว่า รัฐบาลนี้เคารพในสิทธิเสรีภาพและการแสดงออกของทุกฝ่าย ไม่เคยลืมว่าครั้งหนึ่งเราเคยบอบช้ำและเจ็บปวด ครั้งหนึ่งเคยต่อสู้ร่วมกับประชาชนอย่างเปิดเผย และพรรคของเรามีคนเสื้อแดงและลูกหลานของคนเสื้อแดงนี่เป็นสิ่งที่เราเป็น
“ถ้าคำว่าดีลหมายถึงการเจรจาหาข้อสรุปร่วมกัน การเมืองทุกที่ในโลกนี้ก็ต้องมีการดีลทั้งนั้น รัฐบาลของเราตั้งมาก่อนหน้านี้ พรรคของเราก็ดีลกับพรรคของท่าน พรรคของท่านก็มาดีลกับพรรคของเรา เรายกมือโหวตให้กับแคนดิเดตพรรคของท่าน ด้วยความที่เราก็เชื่อว่า ท่านรวมเสียง สว. สำเร็จแล้ว เราก็ดีลแบบนั้นในระดับสองคน และระดับทุกคนในพรรค ท่านยืนยันดีลกับเราแบบนั้นเราก็ดีลด้วย แต่ที่ผ่านมา เรารักษาคำพูดของเราเสมอ เรายกมือให้แคนดิเดตพรรคท่านมาตลอด แต่เท่าที่จำได้ ท่านยังไม่เคยยกมือให้แคนดิเดตพรรคเราเลย” นายกรัฐมนตรีกล่าว
นายกรัฐมนตรีกล่าวอีกว่า เมื่อท่านตั้งรัฐบาลไม่สำเร็จ เราก็เดินหน้าตั้งรัฐบาล ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติตามรัฐสภา ซึ่งเคยเกิดขึ้นกับพรรคเราและมาเกิดขึ้นกับพรรคท่าน และรู้ดีว่าการตั้งรัฐบาลในครั้งนี้ต้องพบกับความยากลำบาก ต้องอธิบายให้ประชาชนฟัง แต่หากต้องการผลักดันนโยบายให้ประชาชนจริงๆ ถ้าเราไม่เริ่มตั้งแต่วันนั้น จะมีนโยบายออกไปถึงมือประชาชนในวันนี้หรือไม่
การที่ท่านพูดว่านโยบายไม่ตรงปก แต่ชาวบ้านได้รับเงิน 10,000 บาท เคยถามประชาชนว่ามีความสุขหรือไม่ การกระตุ้นเศรษฐกิจถ้ายังไม่มีการกระตุ้นจะกระเตื้องอย่างวันนี้หรือไม่ หากไม่เริ่มนับหนึ่งวันนี้ก็ยังติดลบแล้วจะเริ่มไปเป็นบวกเมื่อไรประเทศไทยจะเดินหน้าเมื่อไร
นายกรัฐมนตรีย้ำด้วยว่า รัฐบาลเพื่อไทยภูมิใจว่าได้ทำนโยบายต่างๆ เดินสายไปต่างประเทศทำให้การลงทุนในประเทศไทยสูงสุดในรอบ 10 ปี ทั้งที่เราเป็นรัฐบาลแค่ 6 เดือนเท่านั้น เพราะไม่มีใครอยากเป็นผู้ถูกกล่าวหาในเมื่อเป็นการเมืองแบบใหม่ ท่านควรประกาศให้ชัดไปเลยว่าในสมัยหน้าจะร่วมหรือไม่ร่วมกับใครประชาชนจะได้เกิดความสบายใจ