×

ศิริกัญญาชี้ เศรษฐกิจรอดได้ถ้าไม่มีผู้นำแบบนี้ เหน็บบริหารประเทศแบบใดทำคนนึกถึงประยุทธ์ ด้านพิชัยเห็นด้วย เศรษฐกิจไม่ดีมานาน

โดย THE STANDARD TEAM
25.03.2025
  • LOADING...
no-confidence-debate-2568-36

วันนี้ (25 มีนาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 26 (สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่ 2) วาระพิจารณาญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลวันที่ 2

 

ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายไม่ไว้วางใจ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับการ เป็นเวลา 60 นาที

 

ศิริกัญญากล่าวว่า ขอบคุณนายกรัฐมนตรี ที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศได้ตาสว่าง รู้ว่าพรรคเพื่อไทยไม่ได้เก่งเศรษฐกิจ ความสำเร็จในอดีตได้มาเพราะโชคช่วย ซึ่งวันนี้แย่กว่าในรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน แม้จะมีนายกรัฐมนตรีแพ็กคู่มากว่า 7 เดือน แต่สัมผัสได้ทุกรูขุมขนว่าไม่ได้เก่งจริงแบบที่โอ้อวด เพราะไม่มีความเข้าใจทางด้านเศรษฐกิจ บริหารล้มเหลวเละคามือ

 

วันที่มีการจับมือรัฐบาลข้ามขั้วประชาชนบางส่วนหลับตาข้างนึง เพราะศรัทธาในตัวอดีตนายกรัฐมนตรี ที่คิดว่าจะทำให้เศรษฐกิจดีหากแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ จะทำให้เศรษฐกิจของไทยกลับมาโชติช่วง แต่วันนี้รู้ตัวแล้วว่าคิดผิดไม่เก่งจริงอย่างที่โฆษณา บริหารย่ำแย่ ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน แต่ยังไม่ช้ำใจเท่ากับการที่นายกรัฐมนตรีทำให้คนร้องหาถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกรัฐมนตรี ทำให้รู้ว่าบริหารเลวร้ายมาในรอบ 10 ปี แบบนี้ต้องเรียกว่าเสียของของคนที่เข้าคูหาไปลงคะแนนเสียง เพื่อพิพากษา พล.อ.ประยุทธ์ เพราะอยากได้รัฐบาลที่มาจากประชาธิปไตย

 

“ส่งสัญญาณชัดยิ่งกว่าชัด ว่าพอกันทีกับยุคเผด็จการที่ทำให้เศรษฐกิจดิ่งเหว ให้อภัยไม่ได้จริงๆ ที่นายกรัฐมนตรีทำให้คนพากันลืมภาพร้ายๆ ของรัฐประหาร ทำให้ความทรงจำร้ายๆ เลือนหาย ทำให้กลายเป็นความทรงจำที่มีเสียงออกมาว่าสมัยลุงตู่ยังดีกว่านี้เลย” ศิริกัญญากล่าว

 

ศิริกัญญากล่าวว่า อยากฝากท่านประธานถามไปยังว่านายกรัฐมนตรีแพทองธาร ท่านทำอะไรลงไปรู้ตัวหรือไม่ ความเดือดร้อนเกิดทุกหย่อมหญ้า รายได้ฝืดเคือง ค่าครองชีพสูง หนี้ครัวเรือนท่วมท้น ทั้งในระบบและนอกระบบ ห้างร้านทยอยปิดตัว คนตกงาน เศรษฐกิจตกต่ำ ปัญหาโครงสร้างไม่ได้รับการพูดถึงอย่างจริงจัง

 

ศิริกัญญากล่าวอีกว่า เกษตรกรคือชนชั้นแรกที่ถูกแจกความสิ้นหวังอย่างเท่าเทียม เพราะเรามี พิชัย นริพทะพันธุ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ที่คอยส่งข้อมูลบิดเบือนให้นายกรัฐมนตรี ว่าราคาสินค้าเกษตรยังดี ซึ่งแดงทั้งกระดานไม่ได้มีแค่หุ้น แต่ราคาพืชผลเกษตรแทบทุกชนิดตกต่ำ ทั้งข้าว อ้อย มันสำปะหลัง และข้าวโพด เกษตรกรจะอยู่อย่างไร

 

ขณะที่นายกรัฐมนตรีได้แต่สั่งให้แก้ปัญหาแต่ไม่บอกว่าให้ทำอะไร รัฐมนตรีรายงานอะไรก็เชื่อ และปล่อยให้ทำไป และไม่ได้เตรียมการล่วงหน้า นอกจากนี้ยังไม่มีน้ำยาพอที่จะสั่งให้รัฐมนตรีต่างพรรคทำงานร่วมกันได้ มันจบแล้วรัฐบาลที่ไม่แคร์เสียงหลักของตัวเอง ที่สัญญาว่าจะเข้ามาแก้ปัญหาให้ประชาชนมีกินมีใช้

 

ศิริกัญญากล่าวว่า ในส่วนของรายได้แรงงาน ก็แทบไม่เพิ่มเช่นกัน แต่นายกรัฐมนตรีกลับขยันพูดว่า GDP จะโตขึ้น 3% 5% แต่ไม่เคยพูดว่าจะเพิ่มรายได้ให้ประชาชนอย่างไร และยังชอบสัญญาลมๆ แล้งๆ เช่น ค่าแรง 400 บาท ทั้งที่รู้อยู่แก่ใจว่าตัวเองทำไม่ได้ นอกจากนี้ยังไปพูดให้ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้เป็นบิดาฟัง และนำไปพูดหาเสียงทุกเวทีเป็นการจงใจโกหกหลอกลวง ทำไม่ได้แม้มีอำนาจเต็ม

 

ศิริกัญญายังระบุว่า นายกรัฐมนตรีบริหารเศรษฐกิจทำให้เกิดการเลิกกิจการถึง 11% เตะถ่วงเงินชดเชยแรงงานที่ถูกเลิก ด้าน SMEs ต้องเจอปัญหาประชาชนไม่มีกำลังซื้อ ทุนจีนเข้ามาตีแข่ง แต่ท่าทีของรัฐมนตรีทุกคนที่ตอบมีความเกรงใจจีน ขณะที่การปล่อยสินเชื่อของรัฐบาลมีเยอะมาก แต่ความช่วยเหลือกลับตกไม่ถึง SMEs เพราะธนาคารของรัฐไม่ปล่อยกู้

 

แม้แต่นักลงทุนยังได้รับผลกระทบจากการบริหารประเทศของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ดัชนีหุ้นร่วงไม่หยุดตั้งแต่ประกาศนโยบายพายุหมุนทางเศรษฐกิจ ทำให้คนที่จะลงทุนมีความเสี่ยงยิ่งกว่า Entertainment Complex จนทำให้สำนักข่าวบลูมเบิร์กจัดอันดับไทยเป็นประเทศที่มีดัชนีผลงานแย่ที่สุดในโลกอันดับที่ 92 เพราะมาตรการพยุงตลาดหุ้นไม่ได้ผล และบริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้นก็มีกำไรน้อยเหลือเพียงบริษัท ที่มีสัมพันธ์แนบชิดกับผู้มีอำนาจหรือมีสัมปทานในภาครัฐที่เติบโต

 

ศิริกัญญายังเห็นด้วยกับคำพูดของทักษิณเมื่อวันที่ 23 มีนาคมที่ผ่านมา 3 เรื่อง คือ 1. ในเรื่องเศรษฐกิจบริหารผิดพลาดโดยดึงเงินออกนอกระบบจนเศรษฐกิจแห้ง 2. เรื่องโควิด-19 และ 3.การสร้างโอกาสประชาชนไม่เพียงพอที่จะทำให้สามารถทำมาหากินได้

 

ทั้งหมดนี้ไม่แน่ใจว่าเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีของทักษิณหรือไม่ ซึ่งวิธีการแก้ปัญหา ด้วยการออกมาตรการเมื่อไฟลนก้น ทำให้เศรษฐกิจแย่ลงเรื่อยๆ เพราะ GDP จะลดลงเรื่อยๆ การรับมือของนายกรัฐมนตรีโดยออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจกลับดูซ้ำซาก มีวิธีการเดิมๆ แม้จะรู้ว่าไม่ได้ผลแต่ต้องทำต่อ อาทิ 

 

  • การจ่ายเงินดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท ซึ่งล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง ไม่ว่าจะใช้ตัวชี้วัดไหน นอกจากนี้ยังกลายลดกลุ่มคนผู้ได้รับสิทธิ์ ทำให้ไม่สามารถเรียกว่าเป็นนโยบายประชานิยมได้
  • การกระตุ้นการท่องเที่ยวไม่ได้ตามเป้า ปีนี้นักท่องเที่ยวจีนก็ยังไม่กลับมา
  • มาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบลงทุนภาครัฐ ซึ่งงบที่ทักษิณบอกว่าเป็นงบค้างท่อ ส่วนใหญ่คืองบที่เก็บไว้ใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต จำนวน 1.8 แสนล้านแต่ยังใช้ไม่ถึง
  • มาตรการกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชนก็ยังไม่ได้ตามเป้า เพราะต่างประเทศต้องการใช้พลังงานสีเขียว และทำระบบคลาวด์ แต่หน่วยงานของรัฐกลับไม่ยอมทำ

 

ศิริกัญญากล่าวว่า แม้จะเปลี่ยนนายกรัฐมนตรี แต่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยังคงเดิม เพราะทีมเศรษฐกิจเป็นทีมเดิมจึงทำอย่างเดิม แม้รู้ว่าจะไม่ได้ผล นอกจากนี้โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้ง 46 โครงการ มีทั้งที่ทำเสร็จแล้ว โครงการที่ทำไปแล้วแต่ยังไม่จบ และโครงการที่เสนอใหม่แต่อยู่ในงบประมาณเดิมอยู่แล้ว ทำให้เกิดความสับสน ว่าไปเอาโครงการอะไรมาอยู่ในนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ

 

รวมถึงยังมีโครงการผุดขึ้นทุกวัน เช่น การแก้หนี้นอกระบบ คุณสู้เราช่วย และโครงการใหม่ซื้อหนี้ประชาชนที่มียอดหนี้เสียยอดต่ำกว่า 1 แสนบาท ซึ่งไม่ติดที่จะช่วยเหลือประชาชนแต่ถ้าจะทำโครงการใหม่ ขอให้โครงการเก่าๆ เริ่มดำเนินการได้หรือไม่ เพราะแต่ละโครงการมีความทับซ้อนกัน

 

”รัฐมนตรีออกมาเสนอให้ปลูกอย่างอื่น นอกจากปลูกข้าวไปปลูกกล้วย ดิฉันคิดว่าไม่ไหว มันเหมือนใช้คนไม่ถูกงานจริงๆ แต่ว่ายังคงไม่มีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีจนถึงทุกวันนี้ ยังคงปกป้องกันได้ แสดงว่าเรายังใช้งานรัฐมนตรีที่ยังไม่เข้าใจพื้นฐานของชาวนาเลย ส่วนตัวนายกรัฐมนตรีไม่ช่วยแก้ปัญหายังโทษชาวนา ใช้เมล็ดพันธุ์ข้าวไม่มีคุณภาพ ไม่ได้รับการส่งเสริมจากรัฐบาล โทษคนอื่นไม่ได้ดูตัวเองอีกแล้ว ชาวนาก็ถามเหมือนกัน ตกลงเมล็ดพันธุ์หรือนายกรัฐมนตรีที่ไม่มีคุณภาพ” ศิริกัญญากล่าว

 

ศิริกัญญายังกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้สั่งการให้รัฐมนตรีเตรียมการล่วงหน้า เมื่อเกิดปัญหากลับโทษชาวนา และแถลงมติครม. โดยนำราคาอ้อย ปี 66-67 มาแถลง ทำให้เกิดความสับสน ไม่มีการจ่ายเงินช่วยเหลือจริง, ไม่มีการยืนหยัดต่อกรกับข้าราชการในการปรับเกณฑ์ขั้นต่ำในการส่งออกข้าว เรื่องง่ายๆ ยังล้มเหลวขนาดนี้ ทำให้เชื่อได้ว่าชาตินี้คงไม่ได้เห็นนายกรัฐมนตรีแถลงผลงาน ทลายทุนผูกขาดที่ส่งผลกระทบกับค่าครองชีพของประชาชน ทั้งค่ามือถือและค่าอินเทอร์เน็ตบ้าน รวมถึงการสร้างความเชื่อมั่นในตลาดหุ้นไทย

 

ศิริกัญญากล่าวว่า ความสำเร็จในอดีตไม่ได้การันตีความสำเร็จในอนาคต ซึ่งทักษิณทำหน้าที่ในการขายฝันจะพาเศรษฐกิจไทยไปถึงดวงดาว ขณะที่พายุเศรษฐกิจกำลังจะมา ไทยต้องเผชิญสงครามการค้าอยู่ในลิสต์เบอร์ต้นที่จะถูกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐอเมริกาไม่ต่ำกว่า 10% และสินค้าจีนจะไหลจากสหรัฐเข้าไทย แผลเรื่องการส่งกลับชาวอุยกูร์ไปยังจีนทำให้แต้มต่อหายไป สภายุโรปก็นำเรื่อง FTA มากดดันไทย

 

เชื่อว่าในการอภิปรายครั้งนี้ประชาชนเบื่อฟังคำแก้ตัว เพราะสะท้อนว่านายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีอยู่คนละโลก ช่วงเวลาที่เชื่อใจผ่านไปแล้ว ขออย่ามาแก้ตัวว่าเศรษฐกิจพังมาก่อนหน้านี้ ถ้าจะให้เศรษฐกิจรอดได้ เราไม่สามารถอดทนมีผู้นำแบบนี้ได้อีกต่อไป

 

ด้านพิชัยเห็นด้วยเศรษฐกิจไม่ดีมานาน ตั้งเป้าGDP ถึง3%

 

พิชัย​ ชุณหวชิร​ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง​ ลุกขึ้นชี้แจงว่า​ เห็นด้วยว่าเศรษฐกิจไม่ดีมาอย่างยาวนาน ช่วงที่เศรษฐกิจดี ไม่ใช่เพราะความบังเอิญ​  แต่เพราะเรื่องต่างๆ ที่เราได้ทำไปในอดีต ดังนั้นเมื่อเศรษฐกิจไม่ดีพืชผลทางการเกษตรก็ไม่ดี การลงทุนอุตสาหกรรมไม่ดีเพราะเราสู้เขาไม่ได้ การลงทุนภาครัฐที่เบิกจ่ายช้า รวมถึงเรื่องการส่งออก

 

แต่ GDP สะท้อนว่าประชาชนอยู่ดีกินดี มีกำลังซื้อกำลังบริโภค มีการจ้างงาน มีการลงทุน จึงตั้งเป้าว่าในปีนี้ จะผลักดันให้ GDP ต้องไม่ต่ำกว่า 3%  ส่วนด้านการเกษตร เช่น ข้าวไทยมีการส่งออกจำนวนมาก แต่ขายเกือบเสมอต้นทุนไม่มีกำไรเหลือ สิ่งที่ต้องทำมีอยู่ 2 อย่าง คือ ปลูกข้าวในสถานที่ที่เล็กลง หรือนำพื้นที่ที่เหลือไปปลูกอย่างอื่น

 

ขณะเดียวกันพิชัย​ยังระบุถึงอัตราค่าไฟฟ้า โดยยอมรับว่าค่าไฟฟ้าของประเทศไทยสูงไปราคาที่เหมาะสมควรอยู่ที่ 3.50 บาท แต่ดูแล้วเหมือนจะลดไม่ได้ เพราะต้นทุนมาจากโรงไฟฟ้าและค่าเชื้อเพลิง ซึ่งไทยมีโรงไฟฟ้ามากเกินความจำเป็น ทำให้ต้องนำต้นทุนมาถัวเฉลี่ยการคิดค่าไฟทั้งหมด นอกจากนี้ศูนย์ข้อมูล Data Center หลายแห่งต้องการใช้ไฟฟ้า รวมถึงผู้ทำไบโอพลาสติก ต้องการไฟฟ้าพลังงานสีเขียว

 

ส่วนเรื่องการกระตุ้นเศรษฐกิจ พิชัยกล่าวว่า จำเป็นจะต้องเติมเม็ดเงินลงไปไม่ว่าวิธีใดวิธีหนึ่ง วันนี้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น การใช้ศัพท์คำว่า Stable Coin จะต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง เพราะกระทรวงการคลังไม่สามารถพิมพ์เงินใหม่ขึ้นมาคู่ขนานหรือแข่งกับแบงก์ชาติได้ แต่สิ่งที่เราจะทำ เพื่อให้เกิดสภาพคล่องมากขึ้น ต้องเปลี่ยนให้เป็น Token และยืนยันว่าเราจะไม่ทำอะไรออกนอกเหนือจากสิ่งที่แบงก์ชาติไม่เห็นด้วย

 

ขณะที่เรื่องตลาดหุ้นพิชัยกล่าวว่า ได้มีการแก้ไขปัญหาความได้เปรียบของนักลงทุนต่างชาติมากกว่านักลงทุนไทยไปแล้ว 80-90% ส่วนเรื่องการแก้หนี้ ปกติแล้วขั้นตอนโดยทั่วไป คือ ขอยืดหยุ่น หยุดหนี้ จ่ายน้อยลง ซึ่งทำได้เฉพาะคนที่ยังมีกำลัง มีการดำเนินการแก้ไขปัญหาไปแล้วประมาณ 30%

 

ส่วนการออกนโยบายซื้อหนี้ เราจะเลือกเอาเฉพาะที่เป็นหนี้เสียมาดำเนินการเพราะจะซื้อหนี้ทั้งหมดคงไม่ได้ เนื่องจากใช้งบประมาณที่สูงมาก

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising