×

ลิซ่า ภคมน จวกแพทองธารตื้นเขิน ไร้ความรู้-ไร้วุฒิภาวะ-ไร้เจตจำนง รับใช้ประชาชน ไม่มีคุณสมบัตินั่งนายกฯ

โดย THE STANDARD TEAM
25.03.2025
  • LOADING...
no-confidence-debate-2568-28

วันนี้ (25 มีนาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 26 (สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่ 2) วาระพิจารณาญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลวันที่ 2

 

ภคมน หนุนอนันต์ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้อภิปรายไม่ไว้วางใจ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ว่าเป็นผู้ที่ไม่มีคุณสมบัติของผู้นำประเทศ ขาดความรู้ความสามารถ ไม่มีวุฒิภาวะของผู้นำ และไม่มีเจตจำนงที่จะรับใช้ประชาชนที่จะนำพาประเทศไปข้างหน้าได้เลย

 

ภคมนกล่าวต่อว่า นายกรัฐมนตรีคือที่อยู่ในตำแหน่ง แต่กลับลอยตัวเหนือปัญหา เพราะคนที่เป็นผู้นำประเทศนั้นต้องมีคุณสมบัติ 3 ประการ คือ

 

  1. ต้องมีความรู้ เพื่อนำไปสู่การตัดสินใจที่ถูกต้องแม่นยำ เผชิญปัญหา และแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

  1. ต้องมีวุฒิภาวะ ต่อให้มีความรู้ความสามารถแค่ไหนตราบใดที่ไร้วุฒิภาวะก็ไม่สามารถที่จะบริหารสถานการณ์ บริหารความรู้สึกของประชาชนในช่วงเวลาที่ยากลำบากและท้าทายได้

 

  1. การมีเจตจำนงที่รับใช้ประชาชน แม้จะดูเป็นคำใหญ่คำโต แต่คนที่จะเป็นผู้นำประเทศได้นั้นต้องมีความต้องการอันแรงกล้าที่จะแก้ไขปัญหาให้กับประชาชน หากปราศจากเจตจำนงนี้การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะเป็นไปเพื่อประโยชน์ของตนเองและประโยชน์ของครอบครัว

 

ภคมนยกตัวอย่างการขาดความรู้ความสามารถของนายกรัฐมนตรี เช่น กรณีการตอบคำถามถึงการรับมือเงินบาทแข็งของนายกรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรีระบุว่าบาทแข็งนั้นส่งผลดีต่อการส่งออก แต่ทั่วโลกนั้นทราบดีว่าบาทแข็งจะกระทบต่อการนำเข้าและส่งผลเสียต่อการส่งออก แต่นายกรัฐมนตรีกลับตอบเรื่องที่เป็นความรู้พื้นฐานผิด

 

อีกกรณีคือการตอบคำถามเกี่ยวกับความคืบหน้าในการแจกเงิน 10,000 บาท จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นออกมาหรือไม่ แต่นายกฯ ไม่กล้าพูด เพราะกลัวจะพูดผิดอีก หรือกรณีการแถลงแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 3 หลังการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจว่า มีเหตุผลอะไรที่ไม่สามารถตอบได้ ทั้งที่ตนเองเป็นประธานในที่ประชุม หรือนายกรัฐมนตรีอาจเป็นคนเดียวในที่ประชุมที่ไม่มีอะไรติดหัวมาออกมาเลย

 

ภคมนกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่อง แต่ความรู้ทั่วไปต้องมี ต้องรู้เพื่อสื่อสารและระงับความสับสน และสร้างความสบายใจให้กับสังคม เพราะนี่ไม่ใช่หน้าที่ของผู้อื่น แต่เป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรี

 

“หลายครั้งในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน แต่ท่านไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเป็นนายกรัฐมนตรีที่ต้องสื่อสารเรื่องพื้นฐานที่ต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับสังคม แต่ยังไม่มีปัญญาเลย” ภคมนกล่าว

 

ภคมนยังยกตัวอย่างกรณีที่นายกรัฐมนตรีได้ขึ้นเวที Forbes Global CEO Conference ที่มีนักธุรกิจชาวต่างชาติกว่า 400 คนมาฟังวิสัยทัศน์นายกรัฐมนตรีประเทศไทย ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่จะสามารถสร้างเม็ดเงินได้อย่างมหาศาล สามารถแสดงศักยภาพโชว์วิสัยทัศน์ทางเศรษฐกิจ และเป็นโอกาสให้ประชาชนมีกินมีใช้ มีเกียรติมีศักดิ์ศรีไปพร้อมๆ กัน

 

ในวันนั้นนายกรัฐมนตรีไม่ได้ใช้ความรู้ความสามารถในการพูดโน้มน้าวนักลงทุนและให้เชื่อมั่นในตัวนายกรัฐมนตรี เสถียรภาพและแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจ สิทธิประโยชน์ทางภาษี ความง่ายในการทำธุรกิจในประเทศไทย การสนับสนุนจากรัฐบาลแผนกันทักษะแรงงาน ลักษณะเด่นของเศรษฐกิจเทศไทยในภาคอุตสาหกรรม การเกษตร หรือพูดถึงความสำเร็จของนักลงทุนคนอื่นๆ

 

“หรือท่านทราบอยู่แล้วว่านักลงทุนวันนั้นไม่ได้มารอฟังท่าน แต่รอฟังพ่อของท่านที่จะขึ้นเวทีเดียวกันในช่วงเย็น ท่านคือตัวแถม”

 

เมื่อถูกถามถึงคำถามที่นายกรัฐมนตรีถูกถามบ่อยๆ เกี่ยวกับโอกาสในการลงทุน หากนายกรัฐมนตรีเป็นคนที่มีความรู้มากพอ ท่านควรจะใช้โอกาสนี้ในการยืนยันว่าประเทศไทยมีความพร้อมมีด้านใดบ้าง แต่นายกรัฐมนตรีกลับตอบว่า ถูกถามว่าพ่อเป็นอย่างไรบ้าง หรือคุณอาเป็นอย่างไรบ้าง แม้จะดูเป็นเรื่องเล่น แต่ในความเป็นจริงนายกรัฐมนตรีไม่ควรใช้เวทีนี้พูดเรื่องไม่เป็นเรื่อง และไม่เป็นประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองเลย โดยเขารู้อยู่แล้วว่าใครคือนายกรัฐมนตรีตัวจริง แพทองธารเป็นเพียงหุ่นเชิด

 

ภคมนกล่าวว่า แพทองธารเรียงเนื้อหาในหัวไม่ได้ และไม่มีความสามารถพูดเรื่องเศรษฐกิจ เรื่องการลงทุน เวลาที่เดินทางไปต่างประเทศ ไปพบกับนานาชาติ ได้มีโอกาสแสดงวิสัยทัศน์ระดับผู้นำกับเขาหรือไม่ ซึ่งคำตอบของแพทองธารทั้งหมดเป็นการสะท้อนว่านายกรัฐมนตรีไม่มีความรู้ความสามารถ ตื้นเขิน ไม่ได้เตรียมตัวมาเลย

 

ส่วนเรื่องวุฒิภาวะของนายกรัฐมนตรีนั้น หลังจากที่โพลออกมาบอกว่าประชาชนไม่พอใจผลงานและไม่เชื่อมั่นในภาวะผู้นำของนายกรัฐมนตรี โดยนายกรัฐมนตรีได้พูดพาดพิง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน หากนายกรัฐมนตรีต้องการพิสูจน์ภาวะความเป็นผู้นำ ท่านต้องตอบคำถามให้สื่อมวลชนเชื่อมั่นและให้ประชาชนยอมรับ อย่าปล่อยให้เงาหัวหน้าพรรคประชาชนใหญ่กว่าตัวท่านเอง โพลนั้นมีขึ้นมีลง เมื่อขึ้นอย่าหลง เมื่อลงอย่าท้อ ตั้งหน้าตั้งตาทำงานไปเก็บอาการ แล้วเดินหน้าต่อไป

 

ภคมนยังกล่าวหาว่านายกรัฐมนตรีไม่มีกาลเทศะในการใช้โซเชียลมีเดีย ในช่วงที่ประชาชนต้องเผชิญกับการถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าอ่านโพยในการพูดคุยทวิภาคีกับผู้นำประเทศหนึ่ง จนสังคมวิจารณ์ว่าอ่านไอแพดมากเกินไป และโพสต์ภาพพร้อมแคปชันที่ไม่เหมาะสมในช่วงที่ประชาชนต้องเผชิญความยากลำบากในเหตุการณ์น้ำท่วมที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นเวลาที่ประชาชนได้รับความเดือดร้อน สูญเสียทรัพย์สิน สูญเสียชีวิตจำนวนมาก

 

แต่ในช่วงเวลาเดียวกัน นายกรัฐมนตรีได้โพสต์ภาพด้วยชุดสีสันสดใส พร้อมกับแคปชันที่ระบุว่า สวัสดีวันจันทร์ กว่าจะมีลงรูปค่า Have A Good Week ของท่าน Week นั้นมีคนตายไป 4 คน และมีผู้มีบ้านเรือนเสียหายกว่า 50,000 หลัง หากนายกรัฐมนตรีต้องการที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกับประชาชน นายกรัฐมนตรีควรใช้จังหวะนี้ แต่กลับเอาความสุขของตัวเองโยนใส่ความทุกข์ของประชาชน

 

จากเหตุการณ์ดังกล่าวนี้นายกรัฐมนตรีคนไทยเพียงคนเดียวที่ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น มีประชาชนมาวิพากษ์วิจารณ์ติติงเกี่ยวกับการสื่อสารและการวางตัวของนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีไม่ควรตอกย้ำประชาชน โดยควรวางตัวให้เหมาะสมกับการเป็นนายกรัฐมนตรี

 

“อุตส่าห์ได้เป็นนายกฯ แทนที่จะทำให้คนเห็นว่าตัวเองพร้อมกับตำแหน่งที่ได้มา แต่กลายเป็นว่าประชาชนต้องไปสอนคนที่เป็นนายกฯ นี่หรือวุฒิภาวะของคนเป็นนายกฯ” ภคมนกล่าว

 

จากนั้นภคมนยกตัวอย่างถึงเจตจำนงในการรับใช้ประชาชน เช่น เรื่องค่าไฟ ในการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ไม่สามารถทำได้เหมือนตอนที่หาเสียงไว้ รวมถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีเดินทางไปประเทศจีน เราไม่ทราบอะไรเลยนอกจากไทยจะได้แพนด้าจากจีน 2 ตัว ผู้นำจีนชอบกินทุเรียน โดยไม่ทราบเลยว่านายกรัฐมนตรีได้แสดงเจตจำนงต่อผู้นำจีนว่าอยากจะแก้ไขปัญหาต่างๆ ให้กับประชาชนคนไทยอย่างไร เช่น ปัญหาสินค้าจีนทะลัก ผู้ประกอบไทยเสียเปรียบ หรือแม้แต่การขึ้นกำแพงภาษีของสหรัฐอเมริกา

 

แต่มีหนึ่งเรื่องที่นายกรัฐมนตรีได้พูดคุยกับผู้นำ คือการส่งตัวชาวอุยกูร์ 40 ชีวิตกับประเทศจีน ในตอนแรกนายกรัฐมนตรีระบุว่าไม่รู้ แต่ในวันถัดมาได้พูดรายละเอียดทุกขั้นตอนว่ามีการพูดคุยกับทางการจีนและผู้นำหลายระดับในระหว่างที่เดินทางไปประเทศจีน

 

หนึ่งสัปดาห์ต่อมา คณะกรรมาธิการความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ เรียกทุกฝ่ายมาสอบถามความจริง โดยปรากฏว่ามีหนังสือจะรับตัวชาวอุยกูร์จากจีนมาถึงทางการไทยเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2568 และต่อมามีการประชุม สมช. ที่มีทั้งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ได้ลงมติส่งตัวผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ในวันที่ 17 มกราคม 2568 หมายความว่ารัฐบาลซึ่งนำโดยนายกรัฐมนตรี ได้แหกตาประชาชน โกหกเป็นทีม และปกปิดความจริงต่อสาธารณะ

 

แม้นายกรัฐมนตรีจะยืนยันว่าชาวอุยกูร์ทั้ง 40 ชีวิตเต็มใจกลับ เพราะไม่มีการลากตัว หากนายกรัฐมนตรีมีเจตจำนงในการปกป้องสิทธิมนุษยชนสากลจะไม่มีใครมาว่าเราได้ แน่นอนว่าการเมืองระดับโลกไทยต้องคบค้าสมาคมทั้งจีนและสหรัฐฯ การตัดสินใจทางการเมืองใดๆ อาจส่งผลกระทบอีกฝ่ายหนึ่งอยู่แล้ว แต่หากตัดสินใจบนหลักสากลก็ถือว่าการตัดสินใจที่ยึดหลักการ การตัดสินใจโดยเจตจำนงของตนเองที่แสดงออกมาอย่างสง่างาม

 

ภคมนกล่าวถึงเจตจำนงในคดีตากใบย้อนกลับไปเมื่อปี 2547 รัฐบาลของ ทักษิณ ชินวัตร ที่มีผู้เสียชีวิตกว่า 85 คน กลายเป็นบาดแผลใหญ่ที่สุดของรัฐบาลทักษิณ ผ่านมา 20 ปี แพทองธารเป็นนายกฯ ซึ่งจะเป็นโอกาสในการคลายปมความรู้สึกของประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม และคลายปมความขัดแย้งที่บิดาได้ก่อเอาไว้ แต่ท่านกับลอยตัวเนื้อปัญหา ทำให้โอกาสกลายเป็นวิกฤตระลอกใหม่

 

ก่อนมีหมายจับผู้ต้องหายังนั่งประชุมอยู่ในสภา แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติกับปล่อยให้จำเลยที่ 1 หลบหนีลอยนวล จับผู้ต้องหาไม่ได้แม้แต่คนเดียว ปล่อยให้คดีหมดอายุความคาศาล ดับความหวังญาติที่ถูกกระทำในรัฐบาลของบิดาของท่าน และถูกย่ำยีมีอีกครั้งในรัฐบาลลูกสาว

 

“สิ่งที่ท่านทำคือตีหน้าเศร้า ขอโทษต่อผู้สูญเสีย คำขอโทษไร้ค่า ไร้ความหมาย เพราะผู้พูดไม่ได้ใช้อำนาจหน้าที่มีในการอำนวยความยุติธรรม นี่คือความอัปยศของคนไทยที่มีนายกฯ ขาดเจตจำนงในการคืนความเป็นธรรมให้กับประชาชน”

 

ภคมนกล่าวต่อว่า ทั้งหมดไม่ใช่การจับผิดแพทองธาร แต่การไม่มีความรู้ความสามารถ ไม่มีวุฒิภาวะ ไม่มีเจตจำนงของนายกฯ คือรูปธรรมที่ชัดเจนที่สุดที่ยืนยันว่าประชาธิปไตยกำลังถูกย่ำยีให้อ่อนแอและไร้เกียรติ สะท้อนให้เห็นโครงสร้างการเมืองไทย หากมีอำนาจต่อรองมากพอ คุณจะขึ้นมาเป็นนายกฯ ทั้งที่ไม่มีคุณสมบัติเลย ต้องการดันให้ลูกสาวขึ้นเป็นนายกฯ ทดลองบริหารประเทศ แม้จะเจ๊งก็ไม่เป็นไรหากมีอำนาจต่อรองมากพอในการดีลแลกประเทศ โดยไม่สนใจหัวของประชาชนเลยก็ได้

 

7 เดือนที่แพทองธารดำรงตำแหน่งนายกฯ ได้อะไรไปเยอะ ได้พาพ่อกลับบ้าน ได้โปรไฟล์ ได้ยกระดับสถานะทางสังคมให้สูงขึ้นไปอีก แต่ประชาชนต้องเสียโอกาสที่จะมีผู้นำในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปข้างหน้า เสียภาพลักษณ์ของประเทศต่อนานาชาติ เสียโอกาสที่จะได้ทวงคืนความเป็นธรรมให้กับผู้เสียชีวิตในคดีตากใบ เสียจุดยืนในหลักการสากล เสียโอกาสที่จะได้เห็นรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เสียโอกาสที่จะได้เห็นรัฐบาลพลเรือนที่มีน้ำยากว่ารัฐบาล

 

การอภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งนี้อาจจะไม่ได้จบลงด้วยการให้แพทองธารหลุดจากตำแหน่งนายกฯ ท่านอาจจะไม่รู้สึกรู้สาอะไรด้วยซ้ำ แต่ถ้าพอจะมีจิตสำนึก อยากให้คิดถึงหัวอกคนมีลูกเล็ก ไม่ได้ร่ำรวยและเติบโตในสังคมนี้ที่การศึกษากำลังถดถอย นึกถึงโอกาสของคนหนุ่มสาวที่เรียนจบแล้วไม่มีตลาดรองรับ นึกถึงหัวอกนักโทษการเมืองที่รอคอยความยุติธรรม โอกาสของประเทศไทยทั้งหมดแลกกับการที่แพทองธารเป็นนายกฯ และแลกกับความต้องการของครอบครัวเดียว

 

ในขณะที่คนอีกไม่รู้กี่สิบล้านคนต้องสูญเสียความหวังในชีวิต สูญเสียโอกาส พรรคเพื่อไทยมาถึงจุดที่หักหลังประชาชนขนาดนี้ได้อย่างไร ตนเองไม่อาจไว้วางใจให้แพทองธารเป็นนายกฯ ต่อไปได้แม้แต่วินาทีเดียว

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising