วันนี้ (24 มีนาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 26 (สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่ 2) วาระพิจารณาญัตติอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลวันแรก ซึ่งมีภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาคนที่ 2 ทำหน้าที่การประชุม โดย ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ลุกขึ้นชี้แจงการอภิปรายของ กัณวีร์ สืบแสง สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ที่ระบุถึงความล้มเหลวของนโยบายต่างประเทศที่ทำลายภาพลักษณ์ของประเทศไทยในเวทีโลก หลังจากรัฐบาลได้ส่งตัวผู้ลี้ภัย 40 ชีวิตกลับไปประเทศจีนเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 2568
ช่วงหนึ่งของการอภิปรายนั้น ภูมิธรรมได้ระบุว่า ฝ่ายค้านไม่เคยคิดถึงเรื่องคนอื่น หรือสิ่งที่เป็นความตั้งใจ และไม่คิดจะตั้งใจความคิดความต้องการของผู้อื่น คิดและหมกมุ่นแต่เรื่องตัวเอง
จากนั้น นนท์ ไพศาลลิ้มเจริญกิจ สส. นนทบุรี พรรคประชาชนได้ลุกขึ้นประท้วง โดยเห็นว่ารัฐมนตรีนั้นได้ใช้กิริยาพูดจาเสียดสีฝ่ายค้าน โดยขอให้รัฐมนตรีนั้นชี้แจงให้อยู่ในเนื้อหาที่เป็นประโยชน์กับประชาชน ไม่ใช่การเสียดสี และต่อว่าเช่นนี้ ซึ่งประธานได้วินิจฉัยว่า ฝ่ายค้านได้อภิปรายอย่างความหนักหน่วงด้วยการเสียดสีในบางครั้ง ดังนั้นรัฐมนตรีก็มีการเสียดสีไปบ้าง และขอความกรุณารัฐมนตรี ในฐานะเป็นผู้ใหญ่ ชี้แจงด้วยความสุขุม รอบคอบ
ภูมิธรรมกล่าวว่า ตนเองใช้ความสุขุมอย่างรอบคอบมากที่สุดแล้ว ตนเองยังไม่เคยใช้คำว่ากีกี้ ไปว่าสตรี เหมือนที่ตัวแทนพรรคร่วมฝ่ายค้านพูด ซึ่งเป็นคำที่หยาบคาย หยาบโลน สกปรกที่สุด แต่ตนเองจะพยายามอย่างที่สุด
จากนั้น ณัฐพงศ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านได้ขอให้รัฐมนตรีถอนคำพูด
ปกรณ์วุฒิ พิพัฒน์อุดมสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้ลุกขึ้นประท้วงว่า ท่านรัฐมนตรีหมายถึง วิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส. บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน แต่หลังจากที่จบการอภิปราย แล้วให้ท่านไปเปิดโซเชียลมีเดีย เพื่อหาความหมายที่แท้จริง ก่อนจะถูกปิดไมค์
จากนั้น ชุติพงศ์ พิภพภิญโญ สส.ระยอง พรรคประชาชน ได้ลุกขึ้นประท้วงโดยระบุว่าที่ผ่านมาประธานได้ทำหน้าที่และวินิจฉัยได้เป็นอย่างดี แต่ขอให้ประธานวางตัวเป็นกลางและเปิดโอกาสให้ฝ่ายค้านได้ชี้แจงถึงความหมายที่ผิดเพี้ยน ก่อนที่จะให้ประธานได้วินิจฉัยว่า ตนเองได้ขอความกรุณาจากท่านรัฐมนตรีแล้วถือว่าพอสมควรแล้ว
จากนั้น ปกรณ์วุฒิ ระบุว่า หลังจากที่ท่านประธานได้พูดกับรัฐมนตรีแล้ว แต่ท่านรัฐมนตรียังมีการกล่าวหาด้วยความหมายที่ผิดเพี้ยนจากที่วิโรจน์พูด ซึ่งรัฐมนตรีได้กล่าวหาว่าวิโรจน์หยาบโลนในการเหยียดเพศ ซึ่งในความเป็นจริงนั้นไม่ใช่ ซึ่งหากเปิดโซเชียลมีเดียดูจะเห็นความหมายที่แท้จริงว่า ‘กีกี้’ ที่วิโรจน์พูดนั้นหมายความว่าอย่างไร โดยให้มีการถอนคำพูดที่ระบุว่าสมาชิกพรรคฝ่ายค้านใช้คำหยาบโลนในการว่าท่านนายกรัฐมนตรีออกด้วย
ขณะที่ ภูมิธรรมได้ชี้แจงว่า ตนเองไม่ต้องการที่จะเถียงเรื่องนี้ เพราะต้องการที่จะพูดถึงเนื้อหาสาระของการส่งชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน ที่ตนเองต้องการจะพิสูจน์ให้เห็นว่าฝ่ายค้านใช้แต่จินตนาการและกล่าวหาผู้อื่น ซึ่งเรื่องคำว่า ‘กีกี้’ นั้นวิโรจน์ได้พูดจริง ซึ่งหยาบหรือไม่ นั้นให้ประชาชนไปเปิด Google ดู ว่าคำศัพท์คำดังกล่าวนี้หมายความว่าอะไร แล้วทำไมตัวเองถึงระบุว่าคำดังกล่าวเป็นคำที่หยาบคาย
ภูมิธรรมกล่าวต่อว่า ตนเองจะถอนคำดังกล่าวนี้ ให้แต่อยากให้ประชาชนไปดูว่าสิ่งที่ตนเองพูดเป็นเรื่องจริง หรือสิ่งที่พรรคฝ่ายค้านตื่นตระหนก โดยที่ตนเองจะถอนคำดังกล่าวเพื่อให้ที่ประชุมสงบ เพื่อให้ได้มีการหารือกันต่อ
ทั้งนี้ ประธานได้ขอให้ประชุมอยู่ในความสงบ และวินิจฉัยว่า เมื่อมีการถอนคำว่า หยาบโลนแล้ว ก็ถือว่าจบ แล้วจะให้รัฐมนตรีได้อภิปรายต่อ ส่วนคำว่ากีกี้นั้นหมายความว่าอย่างไร ซึ่งทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ต่างมองความหมายต่างกันไป ให้ประชาชนไปตีความกันเอง ขอให้จบประเด็นนี้ เนื่องจากไม่ต้องการให้การอภิปรายยาวไปถึงเวลา 05:30 น.
เอกราช อุดมอำนวย สส.กทม.พรรคประชาชน ได้ลุกขึ้นประท้วง โดยมองว่าแม้ว่าจะมีการถอนคำดังกล่าวไปแล้ว แต่ท่านรัฐมนตรีก็เหลี่ยม โดยการเสริมขยายความหมายตีความผิดให้ประชาชนเข้าใจผิด ประธานจึงวินิจฉัยว่า เมื่อต่างคนต่างตีความต่างกันคนละแบบ ก็ให้ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน ท่านรัฐมนตรีได้ถอนแล้ว ท่านไม่ได้ถอนแบบเหลี่ยม ท่านกลม ขอให้มีการเดินหน้าการประชุมต่อ ขอให้มีการพิจารณาเรื่องอุยกูร์ต่อ หากจะใช้สิทธิ์พาดพิงขอให้ใช้ภายหลัง ขอให้จบประเด็นอุยกูร์ก่อน
จากนั้นที่ประชุมเริ่มมีความวุ่นวาย ซึ่งประธานสั่งให้ทุกคนนั่งลง ก่อนที่ลุกขึ้นยืน และเจ้าหน้าที่ได้มีการปิดไมค์เพื่อความสงบ เมื่อสถานการณ์เริ่มสงบ ประธานได้วินิจฉัยว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจในวันนี้ ฝ่ายรัฐบาลและคณะรัฐมนตรี ได้เวลา 3 ชั่วโมง 30 นาที ในขณะที่ฝ่ายค้านได้ 17 ชั่วโมง และฝ่ายประธานได้เวลา 1 ชั่วโมง
วันนี้ฝ่ายรัฐมนตรีและฝ่ายรัฐบาลใช้เวลาไปทั้งสิ้น 1 ชั่วโมง 21 นาที เช่นเดียวกับฝ่ายค้านใช้เวลาไปทั้งสิ้น 9 ชั่วโมง 11 นาที ทราบหรือไม่ว่า เราเสียเวลาในการประท้วงไปแล้วเท่าไร ฝ่ายรัฐบาลใช้เวลาในการประท้วงไปแล้ว 30 นาที ในขณะที่ฝ่ายค้านใช้เวลาประท้วงไปแล้ว เกือบ 40 นาที
เมื่อมีการประท้วงมากคนที่ทำหน้าที่ประธานก็ใช้เวลาในการวินิจฉัยมากเช่นกัน ฝ่ายประธานได้รับเวลาในการจัดสรรเพียง 1 ชั่วโมง ขณะนี้เหลือเวลา 3 นาที แล้วทราบหรือไม่ว่าการประท้วงของพวกท่าน ประชาชนไม่ต้องการ เขาอยากเห็นการถามการอภิปรายในญัตติ และอยากเห็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีตอบด้วยเนื้อหาสาระ ซึ่งทั้งหมดทั้งสิ้นนั้น ประชาชนคือผู้ได้ประโยชน์ เรื่องที่ไม่เป็นสาระ เรื่องที่ไร้สาระ ขอให้อย่านำมาให้รกสภา อย่าสร้างความกังวลใจให้กับประชาชนมากไปกว่านี้ ขอให้มีการอภิปรายในเนื้อหาสาระ ความกรุณาทุกท่านด้วย