วันนี้ (24 มีนาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรครั้งที่ 26 (สมัยสามัญประจำปี ครั้งที่ 2) วาระพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล เป็นวันแรก วรภพ วิริยะโรจน์ สส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายกล่าวหานายกรัฐมนตรีโกงค่าไฟประชาชน สานต่อขบวนการทุจริตเชิงนโยบาย
วรภพระบุว่า รัฐบาลก่อนหน้า ซึ่งคือรัฐบาลที่นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้าพรรค อนุมัติสัญญาโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ แต่รัฐบาลที่แล้วเป็นคนลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า เจรจาได้ แต่กลับไม่ทำ จนทำให้วันนี้ประเทศไทยมีโรงไฟฟ้าล้นเกิน และทำให้ค่าไฟแพง ซึ่งในช่วงหาเสียงก็โบ้ยความคิดให้กับรัฐบาลที่แล้ว แต่พอตัวเองได้เป็นนายกรัฐมนตรี ได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล กลับอนุมัติสัญญาซื้อขายอีกในรัฐบาลก่อนหน้า สานต่อขบวนการค่าไฟแพงอย่างไร้รอยต่อไป ทั้งที่นายกรัฐมนตรีมีอำนาจเต็ม ในการยกเลิก หรือชะลอการลงนามได้ แต่ก็ไม่ทำ รู้ทั้งรู้ว่า การทำเช่นนี้จะทำให้ค่าไฟของประชาชนแพงขึ้น
“ที่นายกรัฐมนตรี เคยหาเสียงไว้ว่า มีกิน มีใช้ นายกรัฐมนตรีอาจจะไม่ได้หมายถึงประชาชน แต่หมายถึงกลุ่มทุนพลังงานเพื่อนพ่อหรือไม่ จึงดูราบรื่นไปหมดแบบนี้”
ส่วนข้อสงสัยว่าเหตุใดจึงไม่มีเอกชนในการฟ้องต่อศาลปกครองในเรื่องนี้เลยนั้น คำตอบคือ เงื่อนไขพิสดาร ในการล็อกโควตาซื้อไฟฟ้าเฟสสอง และยังมีการกำหนดว่า เอกชนที่จะยื่นเสนอ จะต้องไม่เป็นเอกชนที่ฟ้องร้องหน่วยงานรัฐอยู่ ซึ่งเป็นเงื่อนไขในการขู่และปิดปากเอกชน พอหากมีการฟ้องร้อง จะไม่ได้รับสิทธิ์จากโควตาที่ล็อกไว้ให้ และแม้ว่าต่อมา จะมีการยกเลิกเรื่องการฟ้องร้องออกไปแล้วนั้น แต่การกระทำเช่นนี้ ได้บรรลุวัตถุประสงค์เรียบร้อย จนการลงนามในสัญญาสำเร็จ รวมถึงมีการสานต่อโครงการในเฟสต่อไปแล้ว
วรภพสรุปว่า ดังนั้น ความผิดของแพทองธารที่สานต่อนโยบายค่าไฟแพง ปล้นคนไทยทุกคนผ่านบิลค่าไฟ เอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนพลังงานที่สนิทสนมกับนายกรัฐมนตรีและครอบครัว คือ
- เดินหน้าโครงการรับซื้อไฟฟ้าเฟสสอง 3,600 เมกะวัตต์ ที่ทุจริตนโยบาย
- เร่งรีบลงนามสัญญาซื้อขายไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ การรับซื้อไฟฟ้าเฟสแรกรอบ 5,200 เมกะวัตต์ ให้เพื่อนสนิทนายกรัฐมนตรีและพ่อ
“สำหรับผม ความเสียหายที่สุดสำหรับประเทศไทย ในการที่นายกรัฐมนตรีสานต่อขบวนการค่าไฟแพง คือการสานต่อกลุ่มทุนผูกขาดให้เติบโต แข่งขันกันหาผลประโยชน์จากอำนาจรัฐ แข่งขันหารายได้จากการผูกขาด หาประโยชน์จากคนในชาติด้วยกันเอง และนายกรัฐมนตรีแพทองธาร สานต่อทุจริตนโยบาย เอาค่าไฟของคนทั้งประเทศ ไปแลกกับดีลของพ่อ หรือคนในครอบครัว ผมขอเป็นตัวแทนประชาชน หยุดการทุจริตเชิงนโยบายของรัฐบาล ยุติการปล้นจากกระเป๋าคนไทย โดยบิลค่าไฟ” วรภพกล่าว
วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุมในขณะนั้น จึงแย้งว่า ในญัตติมีการขีดคำว่าพ่อออกไปแล้ว ไม่ควรจะพูด จะพูดว่าเป็นดีลของรัฐบาลก็ได้
ด้าน รักชนก ศรีนอก สส.กทม. พรรคประชาชน ลุกขึ้นประท้วงการทำหน้าที่ของ ประธานด้วยข้อบังคับข้อที่ 9 ขอให้ประธานวางตัวเป็นกลาง และควบคุมการประชุม ตั้งแต่เริ่มการประชุมสภาฯ ในช่วงเช้า ประธานกลับมีมาตรฐานในการทำหน้าที่ต่ำลง
วันมูหะมัดนอร์จึงกดปิดไมค์รักชนกทันที ก่อนกล่าวว่า ไม่อาจให้พูดได้ว่าประธานวางมาตรฐานให้ต่ำ เพราะตนเองอยู่ในสภานี้มานาน ตนเองต้องรักษาเกียรติ ศักดิ์ศรี ของสภา ไม่อาจจะยอมให้ใครมาทำลายศักดิ์ศรีสภาได้
“เพราะฉะนั้น คุณนั่งลง ผมว่าไม่ใช่ประเด็นแล้ว คุณนั่งลงได้ ผมวินิจฉัยแล้วว่าผมทำตามข้อบังคับ คุณบอกว่าผมไม่เป็นกลางข้อ 9 ผมเป็นกลางครับ และคุณบอกว่าผมมาตรฐานที่ตกต่ำ อันนี้ผมยอมไม่ได้ ในฐานะประธาน ผมไม่อาจจะสร้างให้สภานี้ตกต่ำได้ เราต้องรักษาสภา นั่งลงได้ คุณจะไม่นั่งหรือยังไงครับ” วันมูหะมัดนอร์กล่าว ทำให้รักชนกจะเดินออกจากห้องประชุม