กระทรวงการต่างประเทศเกาหลีเหนือออกแถลงการณ์เมื่อวานนี้ (8 กุมภาพันธ์) โดยประกาศกร้าวว่า เกาหลีเหนือเป็นเพียงประเทศเดียวบนโลกใบนี้ที่สามารถ ‘เขย่าโลก’ ได้ด้วยการยิงขีปนาวุธที่มีศักยภาพในการโจมตีไปถึงสหรัฐฯ
“ในโลกทุกวันนี้ ซึ่งหลายประเทศเสียเวลาไปกับการตกลงกับสหรัฐฯ ด้วยการยอมจำนนและเชื่อฟังอย่างตาบอด มีเพียงประเทศของเราบนโลกนี้เท่านั้นที่สามารถเขย่าโลกได้ด้วยการยิงขีปนาวุธ โดยมีแผ่นดินสหรัฐฯ อยู่ในพิสัยโจมตี” แถลงการณ์ระบุ พร้อมทั้งอ้างว่า ในจำนวนกว่า 200 ประเทศทั่วโลก เกาหลีเหนือเป็นเพียงหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่มีทั้ง ‘ระเบิดไฮโดรเจน ขีปนาวุธข้ามทวีป และขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียง’
แถลงการณ์ดังกล่าวมีขึ้นท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลี หลังจากที่เปียงยางทดสอบยิงขีปนาวุธทิ้งตัวอย่างต่อเนื่องถึง 7 ครั้งนับตั้งแต่ปีใหม่ ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ละเมิดคำสั่งห้ามของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ
ในจำนวนขีปนาวุธที่มีการยิงทดสอบนั้น รวมถึงขีปนาวุธความเร็วเหนือเสียงชนิดใหม่ และขีปนาวุธฮวาซอง-12 ซึ่งเป็นขีปนาวุธทิ้งตัวพิสัยกลาง ที่มีพิสัยการโจมตีไกลถึงดินแดนของสหรัฐฯ ในมหาสมุทรแปซิฟิก
แถลงการณ์ยังชี้ว่า การทดสอบยิงขีปนาวุธอย่างต่อเนื่องดังกล่าว เป็น ‘ความสำเร็จอันน่าทึ่ง’ ที่เสริมสร้างความแข็งแกร่งของเกาหลีเหนือในการยับยั้งสงคราม
นอกจากนี้ยังมีการระบุถึงขีปนาวุธฮวาซอง-15 ที่เป็นขีปนาวุธนำวิถีข้ามทวีป (ICBM) ซึ่งสามารถติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ได้ และมีพิสัยโจมตีไกลที่สุดเท่าที่เกาหลีเหนือเคยทดสอบยิงมา โดยขีปนาวุธชนิดนี้ไม่เคยมีการทดสอบอีกเลยหลังจากการทดสอบครั้งแรกในปี 2017 และเชื่อว่ามันมีประสิทธิภาพในการโจมตีได้ถึงทุกสถานที่ในแผ่นดินสหรัฐฯ
ด้านโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ยืนยันท่าทีของวอชิงตันว่า ไม่มีเจตนาที่เป็นศัตรูต่อเกาหลีเหนือ และเรียกร้องรัฐบาลเปียงยางให้กลับสู่การเจรจา ขณะที่ชี้ว่าการกระทำของเกาหลีเหนือเป็นภัยคุกคามต่อสันติภาพและความมั่นคงระหว่างประเทศ ตลอดจนความพยายามในการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ทั่วโลก
“สหรัฐฯ ให้ความใส่ใจอย่างมากต่อการยับยั้ง (เกาหลีเหนือ) โดยป้องกันการยั่วยุหรือการใช้กำลัง และจำกัดการเข้าถึงโครงการอาวุธที่อันตรายมากที่สุด และเหนือสิ่งอื่นใดคือการทำให้ประชาชนอเมริกัน กองทัพของเรา และพันธมิตรของเราปลอดภัย” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุ
ภาพ: Photo by Jörn Petring/picture alliance via Getty Images
อ้างอิง: