24 กันยายน 1991 หรือ 20 ปีที่แล้ว อัลบั้ม Nevermind ของ Nirvana ออกวางจำหน่ายเป็นวันแรก
อัลบั้ม Nevermind มักถูกยกย่องในฐานะ ‘อัลบั้มที่เปลี่ยนแปลงวงการเพลงไปตลอดกาล’ เดิมที 3 สมาชิก Nirvana ไม่ได้คิดว่าอัลบั้มชุดนี้จะประสบความสำเร็จถึงขั้นเป็นปรากฏการณ์ แต่เมื่อซิงเกิล Smells Like Teen Spirit ได้รับการผลักดันจาก MTV สื่อโทรทัศน์ที่มีอิทธิพลในขณะนั้น มันได้ส่งผลให้อัลบั้ม Nevermind ไปสู่จุดที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน นั่นก็คือการเบียดผลงานเพลงป๊อประดับพระกาฬอย่าง Dangerous ของไมเคิล แจ็คสัน ลงจากชาร์ต!
แต่ทุกผลงานชิ้นเอกย่อมมีเบื้องลึกเบื้องหลังที่แตกต่างกันออกไป นอกเหนือจากบทเพลงดุเดือดเต็มไปด้วยพลังมหาศาลชนิดที่ทำให้คนเจเนอเรชันนั้นรับรู้สารร่วมกันได้แล้ว ที่มาและแรงผลักดันเบื้องหลังของอัลบั้มนี้ยังเป็นส่วนสำคัญเบื้องหลังคำตอบแห่งความสำเร็จเหล่านั้น บุช วิก (Butch Vig) โปรดิวเซอร์คู่ใจของวง เล่าหลายเรื่องเบื้องหลังและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างการทำงานอัลบั้ม Nevermind ก่อนที่ตำนานในวงการเพลงอย่าง Nirvana จะถือกำเนิดไปพร้อมกัน
เคล็ด (ไม่) ลับวิธีการอัดเพลงอย่างรวดเร็ว
Nirvana ไม่ได้มองเรื่องดนตรีเป็นเพียงงานอดิเรก ดังนั้นเมื่อได้เซ็นสัญญาทำอัลบั้ม Nevermind กับ DGC Records ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ มันคือโอกาสทองที่พวกเขาพร้อมที่จะเทหมดหน้าตัก (อัลบั้มแรก Bleach, 1989 สังกัด Sub Pop)
บุชกล่าวว่า การทำงานกับวงหน้าใหม่อาจต้องใช้เวลานานในการอัดเพลง เพราะวงยังไม่มีประสบการณ์ในสตูดิโอ บางวงก็ขาดการฝึกซ้อมอย่างจริงจัง แต่ไม่ใช่กับ Nirvana พวกเขาเตรียมความพร้อมโดยซ้อมดนตรีกันทุกวันแบบไม่มีพัก การฝึกซ้อมของพวกเขาช่วยให้การทำงานอัลบั้ม Nevermind เป็นไปอย่างไหลลื่นและรวดเร็ว
“พวกเขาเล่นได้แน่นนรกแตก คนพวกนี้ไม่ใช่นักดนตรีขี้เกียจ พวกเขาต้องการทำอัลบั้มออกมาให้เจ๋งเท่าที่สุดเท่าที่จะทำได้ เดฟ โกรห์ล (Dave Grohl) บอกกับผมภายหลังว่า ในเวลา 6 เดือนก่อนอัดอัลบั้ม Nevermind วงนัดกันซ้อมดนตรีทุกวัน เราถึงอัดเพลงได้อย่างรวดเร็ว แต่ละเพลงอัดมากสุดเพียง 2-3 เทกเท่านั้นเอง”
การไล่สมาชิกที่ไม่ดีพอออกจากวง
ก่อนที่จะเลือกเดฟ โกรห์ล เป็นมือกลองประจำวง Nirvana ได้สับเปลี่ยนมือกลองไปแล้วหลายคนด้วยกัน หนึ่งในนั้นคือ แชด แชนนิง (Chad Channing) มือกลองผู้เคยมีบทบาทกับ Nirvana ในช่วงเริ่มต้นอัดอัลบั้ม Nevermind แต่เพราะ เคิร์ต โคเบน (Kurt Cobain) ไม่ถูกใจสไตล์การตีกลองของแชดจนเกิดปัญหาและความกดดันเกิดขึ้นในสตูดิโอ เป็นเหตุให้แชดต้องลาออกจาก Nirvana ในที่สุด
บุชเล่าว่า “แชดตีกลองโอเคนะ แต่เขามักมีปัญหากับเคิร์ตที่ไม่พอใจสไตล์การตีกลองของแชด อย่างตอนอัดเพลง Sappy เคิร์ตบอกแชดว่า “นายตีแบบนั้นไม่ได้ ต้องเล่นแบบนี้สิ” เคิร์ตจะพยายามตีกลองให้แชดดูว่าต้องเล่นยังไง ซึ่งมันน่าหงุดหงิดแทนแชดเหมือนกัน เพราะเคิร์ตไม่ได้ตีกลองเก่งอะไรเลย ในขณะเดียวกันผมก็เข้าใจเคิร์ต เพราะแชดตีไม่ได้ตามจังหวะแบบที่เคิร์ตต้องการ”
จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น บุชก็สัมผัสได้ถึงสงครามเย็นระหว่างแชดกับเคิร์ต และคาดเดาได้ว่าทั้งคู่คงลงเรือลำเดียวกันไม่ได้ จนกระทั่งวันหนึ่งแชดก็ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของวง Nirvana อีกต่อไป เมื่อเคิร์ตโทรหาบุชเป็นการส่วนตัวและบอกว่า “เฮ้! บุช วงเราเปลี่ยนมือกลองคนใหม่แล้วนะ เขามีชื่อว่า เดฟ โกรห์ล หมอนี่คือมือกลองที่ดีที่สุดในโลก เขาจะเล่นเพลงใหม่ร่วมกับพวกเรา”
การรับมือกับอารมณ์แปรปรวนของเคิร์ต โคเบน
เคิร์ตเป็นมันสมองหลักของ Nirvana ผู้สร้างสรรค์บทเพลงชิ้นโบแดงประดับโลกใบนี้มากมาย เสียงร้องของเขามีพลังถึงขนาดบ็อบ ดีแลน เคยเอ่ยปากชมว่า “เด็กหนุ่มคนนี้มีจิตวิญญาณ” แต่การทำงานร่วมกับเคิร์ตไม่ใช่เรื่องง่ายเหมือนกับศิลปินทั่วไป เคิร์ตมีบุคลิกที่เดาทางไม่ได้ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ซึ่งสร้างความยากลำบากให้กับโปรดิวเซอร์และเพื่อนร่วมวงตลอดการอัดอัลบั้มชุดนี้
บุช วิก โปรดิวเซอร์คนเดิมให้สัมภาษณ์ไว้อีกครั้งว่า “เคิร์ตมีอารมณ์ที่แปรปรวน รับมือยาก บางทีเขาก็ชัตดาวน์ตัวเองไปเฉยๆ เขาชอบนั่งคนเดียวที่มุมห้องอยู่ในโลกส่วนตัวของเขา คริสต์ โนโวเซลิก (Krist Novoselic) มือเบส Nirvana จะบอกกับผมเสมอว่า ปล่อยเคิร์ตไปเถอะ เดี๋ยวเขาก็หายเอง ผม คริสต์และเดฟเลยต้องหาอะไรทำเพื่อรอเขาคนเดียวหลายชั่วโมง ก่อนที่เคิร์ตจะเดินกลับมาหาแล้วพูดกับทุกคนว่า ‘ลุยต่อเถอะ’ แล้วเขาก็กลับมาพร้อมกับพลังมหาศาลแบบที่ผมไม่เคยพบเจอมาก่อน”
นอกเหนือจากอารมณ์แปรปรวนที่ยากจะคาดเดา เคิร์ตยังไม่ยอมอัดเสียงร้องทับ เนื่องจากกลัวว่าซาวด์ดนตรีจะออกมาเนี้ยบ ไม่เป็นธรรมชาติ ร้อนถึงบุชที่ ต้องเกลี้ยกล่อมโดยใช้ไอดอลของเคิร์ตเป็นตัวล่อ โดยบอกว่าจอห์น เลนนอน ก็ใช้เทคนิคนี้นะ ซึ่งภายหลังเคิร์ตก็ยอมอัดเสียงร้องทับแต่โดยดี
เดฟ โกรห์ล เกือบสูญเสียความมั่นใจ
ใครจะไปเชื่อว่าร็อกสตาร์อย่างเดฟจะเคยสูญเสียความมั่นใจมาก่อน เพราะในช่วงที่เขาอัดกลองระหว่างอัลบั้มชุด Nevermind เขาเคยถูกบุชพูดแทงใจดำเรื่องความผิดพลาดของจังหวะการตีกลอง อย่างไรก็ตาม เขาไม่ยอมแพ้และลุยต่อจนอัดอัลบั้ม Nevermind จนเสร็จสมบูรณ์
บุชเล่าเรื่องนี้เอาไว้ว่า “ระหว่างที่เราอัดเพลง Lithium ผมรู้สึกว่าซาวด์มันดูผิดเพี้ยน ทุกคนชอบเร่งจังหวะเพลงให้มันเร็วไป มันไม่ใช่ความผิดของเดฟเพียงคนเดียวหรอก มันคือความผิดของทุกคนในวงเลยต่างหาก แต่วันนั้นผมด่าเดฟว่า “นายเคยใช้เครื่องเคาะจังหวะบ้างหรือเปล่าวะ” มันกลายเป็นคำพูดแทงใจเขาอย่างแรง เมื่อเดฟกลับไปที่โรงแรม เขาถึงกับนอนไม่หลับ วันต่อมาเขาอัดกลองเพลงนี้อีกครั้งเพียงเทกเดียวโดยที่ไม่ต้องใช้เครื่องเคาะจังหวะช่วยด้วยซ้ำ ซึ่งมันออกมาสมบูรณ์แบบอย่างเหลือเชื่อ”
ทุกคนรู้สึกได้ว่า Nevermind จะเปลี่ยนแปลงโลกไปตลอดกาล
ก่อนที่อัลบั้มชุดนี้จะวางแผงอย่างเป็นทางการ บุชได้นำอัลบั้มชุดนี้ไปเปิดให้เพื่อนๆ ฟังที่งานปาร์ตี้บาร์บีคิว ในเวลานั้นเขาไม่รู้อะไรเลยว่าคนอื่นจะมีความคิดเห็นกับงานชุดนี้เป็นอย่างไร ถึงแม้เขาจะมีความมั่นใจว่าอัลบั้มชุดนี้คือหนึ่งในผลงานที่เขาคิดว่ายอดเยี่ยมที่สุดที่เขาโปรดิวซ์มา
“วันนั้นผมอยู่ในปาร์ตี้บาร์บีคิวกับเพื่อนๆ จนกระทั่งมีคนหนึ่งบอกผมว่า นายลองเปิดเพลง Nirvana ให้ทุกคนฟังสิ ผมเลยนำเทปอัลบั้ม Nevermind มาเปิดให้เพื่อนๆ ฟังในบรรยากาศปิกนิกสวนหลังบ้าน ปาร์ตี้นั้นมีคนประมาณ 30-40 คน ตอนที่เพลงกำลังเล่น ไม่มีคนพูดอะไรออกมาเลย ทุกคนดูเฉยๆ ผมรู้สึกเป็นกังวลมากเลย เมื่อเพลงจบก็มีคนบอกว่า ‘เปิดวนอีกรอบสิ’ ระหว่างนั้นก็เริ่มมีคนพูดว่า พระเจ้าช่วย อัลบั้มชุดนี้จะเปลี่ยนแปลงโลกไปตลอดกาล”
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในฐานะผู้เสพงานศิลป์ บางครั้งเราก็หลงลืมไปว่าความสมบูรณ์แบบที่เราเห็นตรงหน้านั้นไม่ได้ถูก ‘เสก’ ขึ้นมาเฉยๆ แต่มันต้องผ่านการเคี่ยวกรำ แลกมาด้วยความพยายามและหยาดเหงื่อเพื่อให้ได้มาซึ่งผลงานที่หล่อหลอมความระทมทุกข์ และการหาความหมายของชีวิตที่ผู้คนร่วมเจเนอเรชันนั้นต่างรับรู้ร่วมกัน ไม่ต้องแปลกใจเลยว่าเมื่อศิลปินได้เสียสละส่วนหนึ่งของชีวิตเขา เพื่อกลั่นกรองออกมาเป็นภาพสะท้อนความหมายร่วมแห่งการมีขีวิตอยู่ ผลงานนั้นจึงขึ้นหิ้งเป็นอมตะอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
Cover Photo: www.alternativenation.net