นับตั้งแต่วันแรกที่ละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส ออกอากาศ และตามมาด้วยกระแสตอบรับที่ทุกคนพูดถึงไปทั่วบ้านทั่วเมือง ท่ามกลางไฟสปอตไลต์ที่ฉายไปยังนักแสดงรุ่นใหม่ เนื้อเรื่องที่น่าติดตาม หมูกระทะของแม่หญิงการะเกด หรือคำฮิต ‘ออเจ้า’ ที่ในวันนี้ทุกคนรู้จักเป็นอย่างดี ยังมีนักแสดงรุ่นใหญ่วัยย่างเข้า 71 ปี ผู้รับบทออกญาโหราธิบดี ผู้ที่ไม่เคยเรียกร้องให้แสงไฟมาจับที่เขา แต่ตัวตนและผลงานส่องแสงสว่างมาด้วยตัวเองอย่างยาวนานมาเป็นระยะเวลาเกือบ 50 ปี เมื่อชื่อของ นิรุตติ์ ศิริจรรยา หรือ ‘อาหนิง’ ที่หลายเรียกกันจนชินปากด้วยความคุ้นเคย เริ่มถูกสลักไว้ในวงการบันเทิงไทย
ทีมงาน THE STANDARD ตัดสินใจเดินทางไกลจากกรุงเทพฯ ไปยังไร่ทองจันทร์ จังหวัดจันทบุรี เพื่อหาคำตอบที่ว่า อะไรคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้นักแสดงคนหนึ่งยังคงมีผลงานและความสำเร็จอันเป็นที่จดจำอย่างยาวนานมาได้ถึงทุกวันนี้
ตลอดระยะเวลาเกือบ 3 ชั่วโมง ภายใต้ร่มไม้ ณ บ้านไร่ทองจันทร์ สิ่งหนึ่งที่นิรุตติ์ย้ำกับเรามีเพียงไม่กี่อย่าง คือ หน้าที่ที่พึงปฏิบัติ ความดีที่ควรรักษา และระเบียบวินัยที่ห้ามหย่อนยาน เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบราวกับเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิต แต่เรารับรู้ได้ว่าสิ่งเหล่านี้มิได้เกิดขึ้นได้ง่ายๆ หากไม่ได้ผ่านการเคี่ยวกรำตัวเองอย่างหนักมาเป็นระยะเวลาหลายสิบปี
ผมรู้ตัวเองว่าชอบอยู่ในที่โล่งแจ้ง ชอบทำงานแบบนี้มากกว่าการเข้าออฟฟิศ ทำงานแบบพนักงานประจำ งานแสดงไม่มีเวลาที่แน่นอน เคลื่อนที่ไปตรงนั้น ตรงนี้ ถ่ายฉากหนึ่งแล้วย้ายไปถ่ายอีกอำเภอหนึ่ง ได้เปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนผู้คนที่พบเจอ เปลี่ยนเนื้อเรื่อง เปลี่ยนตัวละครที่ได้เล่น ผมเลยลาออกจากงานประจำที่ทำอยู่เพื่อเข้าสู่อาชีพนักแสดง
รู้สึกอย่างไรบ้างกับชีวิตนักแสดงในวัยย่างเข้า 71 ปี ของผู้ชายที่ชื่อนิรุตติ์ ศิริจรรยา
ผมไม่ค่อยคิดถึงเส้นทางที่ผ่านมาหรือความสำเร็จที่เกิดขึ้นมากเท่าไร รวมทั้งผมไม่เคยสนใจผลตอบรับของผลงานทุกเรื่องที่ผ่านมา อาจจะมีได้ยินว่าเรื่องนั้นกำลังดัง เรื่องนี้ประสบความสำเร็จ แต่ก็เพียงแค่รับรู้เอาไว้เท่านั้น เป็นความยินดีกับทีมงานทุกคนที่ร่วมกันสร้างผลงานนั้นขึ้นมา ผมเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น
เรื่องนี้ผมอาจจะคิดต่างกับคนอื่นอยู่บ้าง ผมคิดว่าการแสดงเป็นอาชีพที่ไม่มีการพัฒนา เพราะว่ามันไม่ใช่สินค้า การแสดงเป็นศิลปะที่จับต้องไม่ได้ แต่สิ่งที่เป็นสินค้าคือนักแสดง ซึ่งการพัฒนาก็คือรูปร่างหน้าตา แต่ถ้าให้ผมต้องทำหน้า ไปเสริม ไปดึง ไปย้อมผม ทำจมูก ผมไม่ทำ ผมเพียงแค่ดูแลรักษาร่างกายให้พร้อมสำหรับการถ่ายทำ สีหน้า ท่าทาง ไม่ใช่พักผ่อนไม่พอ ตื่นมาตาบวม หรือพรุ่งนี้ต้องถ่ายแต่เช้าแต่ยังเที่ยวยันเช้า แล้วก็จำบทไม่ได้
ตอนที่เข้าวงการมาเล่นละครแรกๆ ผมอาจจะยังไม่เข้าใจศาสตร์ของการแสดงเท่าไร จนกระทั่งมีภาพยนตร์เรื่อง ดาร์บี้ (2516) ของคุณเทิ่ง สติเฟื่อง ที่เปลี่ยนชีวิตผมทั้งหมด และทำให้ผมรู้ตัวเองว่าชอบอยู่ในที่โล่งแจ้ง ชอบทำงานแบบนี้มากกว่าการเข้าออฟฟิศทำงานแบบพนักงานประจำ งานแสดงไม่มีเวลาที่แน่นอน เคลื่อนที่ไปตรงนั้นตรงนี้ ถ่ายฉากหนึ่งแล้วย้ายไปถ่ายอีกอำเภอหนึ่ง ได้เปลี่ยนสถานที่ เปลี่ยนผู้คนที่พบเจอ เปลี่ยนเนื้อเรื่อง เปลี่ยนตัวละครที่ได้เล่น ผมเลยลาออกจากงานประจำที่ทำอยู่เพื่อเข้าสู่อาชีพนักแสดง ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะมีผลงานอื่นตามมาหรือเปล่า
นิรุตติ์ ศิริจรรยา ในบทบาทจะเด็ดจากละครเรื่อง ผู้ชนะสิบทิศ ในปี พ.ศ. 2523 ที่ทำให้เขาเป็นที่รู้จักในวงกว้าง
สิ่งที่คุณเรียนรู้ได้มากที่สุดที่ศาสตร์การแสดงสอนให้คุณคืออะไร
อาชีพนี้สอนอะไรเรามากมาย เพราะฉะนั้นอย่าอวดรู้ พยายามทำความเข้าใจกับตัวละคร บท ฉาก และทุกๆ อย่างที่เกี่ยวข้องกับการถ่ายทำให้หมด คำไหนแปลก การกระทำไหนประหลาด หาเหตุผลในการตัดสินใจ และทำความเข้าใจให้หมด ให้เริ่มต้นจากตัวเองก่อน ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ให้ถามผู้กำกับ อันนี้สำคัญมาก เพราะถ้าผมไม่รู้หรือไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมทำ ผมจะกลัวมาก แต่เมื่อเรารู้ เราก็จะสามารถแสดงสิ่งเหล่านั้นออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ
ในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ผมไม่ได้ไปดูหนังในโรงภาพยนตร์เลย ไม่มีเวลาดูหรอกครับ ส่วนมากผมก็อยู่ในป่า ไม่เสียเวลากับเฟซบุ๊กหรือหนังใหม่ๆ ที่ต้องขับรถเข้าไปดูในเมือง ถ้าแบบนั้นผมว่านั่งดูต้นไม้ดีกว่า ไม่เสียเงิน สนุกดี
มีโอกาสได้ดูหนังหรือละครใหม่ๆ บ้างหรือเปล่า
ถ้าในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ผมไม่ได้ไปดูหนังในโรงภาพยนตร์เลย ไม่มีเวลาดูหรอกครับ ส่วนมากผมก็อยู่ในป่า ไม่เสียเวลากับพวกเฟซบุ๊กหรือหนังใหม่ๆ ที่ต้องขับรถเข้าไปดูในเมือง ถ้าแบบนั้นผมว่านั่งดูต้นไม้ดีกว่า ไม่เสียเงิน สนุกดี อากาศก็ดีกว่าในโรงหนัง แล้วจะได้ไม่ต้องไปเพิ่มภาระให้คนที่เขามีความจำเป็นต้องใช้รถใช้ถนนจริงๆ ดีกว่า
ส่วนละครก็ไม่ค่อยได้ดูเหมือนกัน อย่าเสียใจนะครับ ผมต้องขอโทษที่ผมชอบพูดว่าไม่ค่อยได้ดูละครหรือภาพยนตร์ เพราะเวลาที่ละครฉายส่วนมากผมยังทำงานอยู่ในกองถ่ายอยู่เลย ถ้ามีเวลาว่างผมก็อยากพักผ่อนเพื่อเตรียมตัวสำหรับการทำงานเรื่องต่อไปมากกว่า
คุณกำลังจะอายุ 71 ปีในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ทำไมถึงยังต้องทำงานและเคร่งครัดกับการทำงานมากขนาดนี้ ในขณะที่คนอายุเท่านี้หลายคนเขาอาจจะคิดถึงการพักผ่อนอย่างเดียวแล้ว
เพราะผมต้องการเป็นลูกจ้างที่ดีที่สุด ขอให้คิดอยู่ตลอดเวลาว่าเราคือลูกจ้าง ไม่ว่าคุณจะเป็นพระเอกกี่ร้อยล้าน ได้ 50 ตุ๊กตาทอง คุณก็ยังเป็นลูกจ้างอยู่วันยังค่ำ ถ้าเขาไม่จ้าง คุณก็ไม่มีวันได้ตุ๊กตาทองหรอก คิดเรื่องนี้ให้หนัก อย่าไปหลงลืมตัวว่าฉันเก่ง ฉันแน่ ฉันเป็นผู้นำของทุกอย่าง อย่าลืมว่าคุณเป็นแค่สินค้าที่เขาสามารถหาชิ้นอื่นมาแทนได้ตลอดเวลา อย่าไปหลงตัวเพราะเห็นเขาเรียกว่าซูเปอร์สตาร์ สตาร์อะไรไม่มีหรอก เราไม่ได้อยู่ในอวกาศนะ เท้าเรายังติดพื้นนะ วันไหนไม่มีคนจ้างเราก็แค่ดับวูบลงเท่านั้นเอง
อย่าไปหลงตัวเพราะเห็นเขาเรียกว่าซูเปอร์สตาร์ สตาร์อะไรไม่มีหรอก เราไม่ได้อยู่ในอวกาศนะ เท้าเรายังติดพื้นนะ วันไหนไม่มีคนจ้างเราก็แค่ดับวูบลงเท่านั้นเอง
นิรุตติ์ ศิริจรรยา ในบทบาทโกโบริ จากละครเรื่อง คู่กรรม ในปี พ.ศ. 2521
นอกจากหน้าที่ในการเป็น ‘ลูกจ้าง’ แล้ว นักแสดงควรจะต้องรับผิดชอบต่อคนดูหรือสังคมมากขนาดไหน
ความรับผิดชอบของนักแสดงมีมากมายครับ นอกจากการทำงาน คุณก็ต้องรับผิดชอบต่อสังคม ทุกเรื่องเมื่อคุณก้าวเท้าออกจากบ้านมา เรามีคนดู มีประชาชนที่รู้จัก มีสื่อที่คอยควบคุม ทั้งหมดนี้คือกฎหมายที่ต้องยึดถือนอกจากกฎหมายของบ้านเมือง เพราะฉะนั้นมันค่อนข้างที่จะลำบาก ถ้าคุณเป็นคนปกติ คุณทิ้งขยะหรือถุยน้ำลายลงพื้นอาจจะไม่เป็นข่าว แต่นักแสดงคนหนึ่งถุยน้ำลายลงพื้นกลายเป็นข่าวใหญ่ เพราะฉะนั้นต้องอยู่ในสังคมให้ดี มีมารยาทและรู้จักกาลเทศะ
มิใช่แค่ว่าก้าวเท้าออกมาอยู่ในสาธารณะ แม้กระทั่งในทุกๆ ที่ คุณต้องเกรงใจเพื่อนร่วมงาน ไม่ว่าจะพระเอก นางเอก คนในกองถ่าย ถ้าเขานัดตี 5 เราต้องตื่นมารอเขา ไม่ใช่ให้เขามารอเรา เพราะว่ารอเราคนเดียว เท่ากับว่าอีก 50 ชีวิตต้องรอเราด้วย บอกว่าเราทำงานหนัก แล้วคนอื่นไม่เหนื่อยไม่ง่วงกันเหรอ เขาไม่ได้เป็นมนุษย์อย่างเราเหรอ ถ้าคิดว่าไม่สามารถทำได้ อย่าเลือกที่เข้าจะมาอยู่ตรงนี้ ปฏิเสธไปตั้งแต่แรกเลยเสียดีกว่า
เรื่องอะไรที่ทำให้คนอย่างคุณรับไม่ได้มากที่สุด
เรื่องมารยาทของคนในสังคมนี่ล่ะที่ผมรับไม่ได้ ผมเลยพยายามฉีกตัวเองออกมาอยู่ในป่าแบบนี้ไง พูดไปเหมือนปากหมา แต่ผมรับสังคมเมืองไทยไม่ได้ หลายๆ อย่างที่พูดไปทำให้ตั้งแต่อายุ 24 ได้เงินจากการแสดงภาพยนตร์เรื่องแรกผมก็ขออนุญาตคุณแม่มาซื้อที่นี่อยู่ แล้วผมไม่คิดว่าผมตัดสินใจผิดเลยนะ เพราะทุกอย่างที่ผมหลีกหนีมามันไม่ได้หายไปไหน แถมยังมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ ผมมีความสุขมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมาอยู่ที่นี่ ตั้งแต่เมื่อก่อนต้องขับรถ 12 ชั่วโมง จากกรุงเทพฯ มาอำเภอโป่งน้ำร้อน จังหวัดจันทบุรี แต่ตอนนี้เหลือแค่ 3 ชั่วโมงกว่าๆ ก็ยิ่งทำให้อะไรหลายๆ อย่างมันง่ายขึ้นไปอีก
ในวัย 71 ปี คุณก็ยังต้องขับรถด้วยตัวเองอยู่เหมือนเดิม
ขับเองตลอดครับ ผมเคยมีคนขับรถ 3 คน แต่คิดว่ามันเป็นภาระให้กับทั้งตัวเขาและก็ผม ภาระของเขาคือเขามีลูกมีเมียต้องดูแล แล้วจะให้เขาทิ้งชีวิตตรงนั้นเพื่อมาอยู่กับผมหลายๆ วันเพื่อเดินทางไปไหนมาไหนเหรอ วันเสาร์ วันอาทิตย์ เขาจะได้พาลูกไปเที่ยว ไปอยู่กับครอบครัว ผมไม่อยากคิดเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว อะไรที่เรายังสามารถทำอยู่ ก็ทำมันด้วยตัวเองไปดีกว่า
หลายๆ อย่างดูเหมือนว่าคุณจะสามารถจัดการเรื่องราวในชีวิตได้ด้วยตัวเอง ตอนนี้มีเรื่องอะไรบ้างไหมที่ไม่อยากจัดการ หรือรู้สึกว่าไม่สามารถจัดการด้วยตัวเองได้จริงๆ
ไม่มีหรอก หรือถ้าจัดการไม่ได้ก็อย่าไปจัดการกับมันสิ ถ้าเราไม่มีหน้าที่เราจะไปจัดการอะไรกับมันได้ล่ะ เราแค่จัดการในสิ่งที่เป็นอำนาจหน้าที่ของเราก็พอแล้ว
ถ้าทุกคนรู้จักหน้าที่ของตัวเองในการขับรถให้มีมารยาท อยู่ตามกฎระเบียบของสังคม บ้านเมืองมันก็ไม่วุ่นวายไง แต่วันใดที่เราอยากไปจัดการเรื่องอื่น อยากจัดการจราจร จัดการไฟฟ้า จัดการการศึกษา จัดการเรื่องตลาดในหมู่บ้าน จัดการเรื่องตำรวจ จัดการคนยิงเสือดำ ก่อนหน้านั้นถามก่อนว่านั่นคือหน้าที่ของเราหรือเปล่า เราเพียงแค่เฝ้าดูและไม่ทำแบบนั้น ปัญหามันก็หมด ไม่ใช่ไปนั่งถล่ม ไปขยี้อะไรต่ออะไรมันก็ไม่มีวันจบ สิ่งสำคัญคือคนที่มีหน้าที่ต่างหากที่ต้องรู้ตัวเองและจัดการให้เรียบร้อย ซึ่งเขาจะรู้กันจริงๆ หรือเปล่าผมก็ไม่รู้นะ แต่ถ้าเขารู้จริงทุกปัญหาที่พูดไปมันควรจะถูกแก้ไขไปแล้ว
ทุกอย่างที่เป็นคุณ ไม่ว่าจะเป็นตัวตน วิธีคิด ถูกหล่อหลอมมาตั้งแต่เด็กๆ เลยหรือเปล่า
มันต้องเป็นอย่างนั้นนะ ผมถูกหล่อหลอมมาจากครอบครัว เพื่อนๆ โรงเรียน สังคมมาตั้งแต่เด็ก แบบที่โบราณพูดว่าไม้แก่ดัดยาก สังคมก็เป็นเบ้าหลอมว่าจะให้เด็กเติบโตมาเป็นอย่างไร เพียงแต่ว่าเราอาจจะไม่ให้เวลาในการหล่อหลอมเขามากพอเท่านั้นเอง หลายครอบครัวที่ปล่อยให้เด็กดูแลกันเองภายใต้สังคมที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา มันก็เลยวิกฤตกันอย่างนี้ เราให้เด็กๆ อยู่กับสิ่งเร้ามากมายโดยที่ไม่เข้าไปดูแล เรามีวัตถุสิ่งของที่เจริญขึ้นมากมาย แต่ความเจริญเติบโตทางความคิด ทางสมองยังไม่มี คิดแค่ว่าอยากมีสิ่งใหม่ๆ เพื่อให้ทันเพื่อนฝูง ให้ทันเพื่อนบ้าน ซึ่งหลายอย่างมันอาจจะยังไม่เข้ากับประเทศเราเท่าไร
มีอะไรบ้างที่คุณคิดว่าสังคมของเราอาจจะยังไม่พร้อมที่จะรับเข้ามา
มากมายมหาศาล เช่น เครื่องไม้เครื่องมือสมัยใหม่ที่เป็นสิ่งล่อใจ กระทั่งของใช้ส่วนตัว เสื้อผ้าชุดหนึ่งกี่หมื่นกี่แสน แล้วสื่ออย่างพวกคุณก็ไปถ่ายเอามาลง แล้วพอเด็กอย่างพวกผมที่อยู่ต่างจังหวัดเห็นเข้า มันเกิดอาการโลภ อยากได้ หลายคนอาจจะไปขายตัวก็ได้เพื่อให้ได้มาซึ่งเสื้อผ้าอันนั้น กระเป๋าถืออันนั้น เพราะเขายังเด็กอยู่ ไม่รู้จักคิด ชั่งใจ คิดแค่ว่าอยากจะเป็นเหมือน อยากจะสวยเหมือน อยากจะเป็นเหมือนคนคนนั้นที่เรานำเข้ามา ซึ่งในยุคผมยังไม่มีสิ่งพวกนี้มากเท่าไรนัก
มีอะไรในยุคนั้นบ้างที่คุณคิดถึงมันมากที่สุด
พูดไป 3 วันก็ไม่จบนะ เอาง่ายๆ ก็เรื่องความเป็นอยู่แบบสมัยก่อน เดี๋ยวนี้สิ่งก่อสร้างอะไรทั้งหลาย การเดินทางในกรุงเทพฯ มันเป็นอะไรที่น่าอึดอัด ไหนจะเรื่องอาหารที่ผมกินมาตั้งแต่เด็กๆ มีหลายอย่างมาก
อาหารอะไรที่อร่อยที่สุดในความคิดของคุณ
ไม่มีอะไรอร่อยสำหรับผม ผมกินได้ทุกอย่างที่ไม่ใช่ของแปลกพิสดาร แต่ผมไม่ได้ว่าร้ายคนที่ไม่ได้คิดแบบนี้นะ คุณจะเสวยสุขอย่างไรก็เรื่องของคุณ แต่ละคนไม่เหมือนกัน ผมมีความสุขของผมอย่างนี้ ผมกินข้าวมื้อเดียว หิวเมื่อไรก็กิน ก็อยู่ของผมมาได้ แล้วผมไม่เลือกกินด้วย มีอะไรผมก็กิน บางอย่างค้างไว้ 3 วันก็กินจนกว่าจะหมด ไม่ต้องไปไขว่คว้าอะไรมาก พอดี พอกิน พออยู่ พอใช้ พอแล้ว
เราแค่อาศัยโลกใบนี้ให้มีความสุขที่สุด ทำความดีให้มากที่สุด แล้ววันไหนดีดนิ้ว เป๊าะ เราก็จากโลกนี้ไปแล้ว จะอะไรกันนักหนา สุดท้ายก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง
ทุกวันนี้ยังมีสิ่งไหนที่อยากได้มากเป็นพิเศษอยู่หรือเปล่า
ไม่มี พูดถึงเรื่องที่เป็นวัตถุสิ่งของนะ ในชีวิตผมแทบไม่เคยเดินห้างเลย ยกเว้นต้องไปทำงานที่เขาจ้างให้ไป แต่ถ้าไปช้อปปิ้ง กินอาหารดีๆ นี่ไม่มี เสื้อผ้าบางครั้งผมก็ซื้อจากกองถ่าย ตัวไหนใส่แล้วพอดีก็ไปขอซื้อต่อ บางตัวเจ้าของผลิตภัณฑ์เขาก็ให้มา อย่างแบรนด์ Lacoste ให้มาเป็นคูปองเดือนละ 5,000 บาท ผมก็ไม่ไปเลือกเอง ให้ผู้จัดการเลือกให้ เพราะมีไซส์อยู่แล้ว ไม่มีความรู้สึกว่าต้องไปดูด้วยตัวเองเพื่อเลือกสีหรือลายที่ชอบ เพราะผมไม่เคยชอบอะไรเป็นพิเศษ ขอแค่ใส่ได้และทำให้ผมไม่ต้องถอดเสื้อเดินไปไหนก็พอแล้ว
ชีวิตของคุณดูสมถะมาก ไม่ช้อปปิ้ง ไม่กินอาหารแพงๆ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ทุกวันนี้ยังมีเรื่องไหนที่ทำให้คุณสามารถใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือยได้บ้างหรือเปล่า
ก็อาจจะเรื่องเปลี่ยนรถ แต่เปลี่ยนหนหนึ่งก็ใช้นาน คันที่ขับอยู่ก็ 10 กว่าปี หรือการสร้างบ้านสิบกว่าล้าน มาคิดมันก็ฟุ่มเฟือยนะ แต่มันต้องทำ เป็นความจำเป็นของที่อยู่อาศัยที่เราเลือกมาอยู่แบบนี้
กับของตกแต่ง ของสะสม งานอดิเรกล่ะ
ไม่เอาเลย ของสะสมก็ต้องไปซื้อแพงๆ งานอดิเรกถ้าจะทำก็ต้องแพงนะ แล้วสะสมไว้ทำไม ทุกอย่างนี้เรามาอาศัยเขาหมดเลย แล้วจะสะสมไปทำไม
เราแค่อาศัยโลกใบนี้ให้มีความสุขที่สุด ทำความดีให้มากที่สุด แล้ววันไหนดีดนิ้ว เป๊าะ เราก็จากโลกนี้ไปแล้ว จะอะไรกันนักหนา สุดท้ายก็เอาอะไรไปไม่ได้สักอย่าง แต่ว่ามนุษย์มีกิเลสไง ยังไม่อยากไป อยากมีงานอดิเรก อยากมีของสะสมเพื่ออวดว่ามีมากกว่าใคร ซึ่งถ้าบอกว่านั่นคือความสุขทางใจของคุณ หรือถ้าคบกับใคร แฟนอยากได้อะไรฟุ่มเฟือยคุณต้องซื้อให้เขา อันนี้ก็ไม่ผิด แต่คิดว่าเท่านี้ผมมีความสุขพอแล้ว
ตอนที่ภรรยายังอยู่กับคุณ ทำให้คุณฟุ่มเฟือยขึ้นมาได้ไหม
ผมเป็นของผมแบบนี้มาตลอด จะให้ของขวัญเขาวันเดียวคือวันครบรอบแต่งงาน เทศกาลอื่นๆ ดอกกุหลาบวาเลนไทน์ผมก็ไม่เอา มาหอมกันยังหอมกว่าอีก แถมหอมได้ทุกวัน ไม่ต้องซื้อด้วย แต่วันแต่งงานคือวันที่จากคนไม่เคยรู้จักกัน มาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ผมตอบแทนบุญคุณว่า เขามาอยู่เป็นเพื่อนผม มาเป็นที่รักผม และเป็นคนที่ผมรัก วันเกิดก็ไม่สำคัญเท่า เพราะผมไม่ได้ทำให้คุณเกิด แต่วันนั้นทำให้คุณเป็นภรรยาผมและทำให้ผมเป็นสามีของคุณ อันนี้สำคัญกว่าอะไรทั้งหมด
สำหรับวันนั้นก็จะยอมฟุ่มเฟือยเต็มที่
ก็ไม่ยอม (หัวเราะ) ซื้ออะไรที่พอประมาณ เช่นสมมติเดินไปอาจจะเข็มกลัดของโบราณที่น่าจะเข้ากับภรรยาผม ราคาอาจจะ 25,000 บาท ก็ซื้อให้ได้เท่านั้น ซึ่งถามว่ามันฟุ่มเฟือยไหม ปีหนึ่งมี 365 วัน ผมหยอดกระป๋องวันละไม่ถึง 100 บาท ผมก็ซื้อให้เขาได้แล้ว
รู้สึกอยากกินอาหารดีๆ ขึ้นมาบ้างไหม เมื่อมีความรัก
ก็ไม่มี ไม่มีอะไรมาเปลี่ยนผมได้เลย (หัวเราะ) ถ้าเขากินไม่ได้ เขาก็ไปกินของที่เขากินได้ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมชีวิตต้องอยู่กับความฟุ่มเฟือย ประโยชน์ของความฟุ่มเฟือยคืออะไร นอกจากความฟุ้งเฟ้อและต้องการอวดเท่านั้นเอง จะต้องอยากได้ อยากมีเหมือนเขา คนเราจะไม่ยอมพอใจอะไรกันเลยเหรอ
ถ้าอย่างนั้นยังทำงานหนักเก็บเงินไปเพื่ออะไร
ผมไม่ได้เก็บเงินอะไรมากมายนะ ผมมีคนงานต้องเลี้ยง มีค่าใช้จ่ายในการที่เรามาอยู่แบบนี้ ส่วนที่เหลือก็เก็บไว้เพื่อความไม่ประมาท เราไม่รู้ว่าจะเจ็บป่วยเมื่อไร และเราจะอยู่ได้อย่างไรโดยไม่เป็นภาระให้คนอื่น ถ้าวันหนึ่งผมหลับแล้วตายไปเลยไม่มีปัญหานะ แล้วเงินหรือทุกอย่างที่ผมมีอยู่จะไปอยู่ที่ไหนอย่างไรผมไม่สนใจ เพราะผมไม่ได้รับรู้อะไรแล้ว
เพราะฉะนั้นการทำงานเลยไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่เป็นเพราะโลกของเราจะปิดไปทันทีเลยนะเมื่อเราหยุดทำงาน เพราะฉะนั้นถ้าสังขารยังไหว ทำงานได้ มีคนจ้าง ก็ทำไป นั่นคือสิ่งที่ทำให้เราภูมิใจว่าเรายังมีคุณค่า ยังทำงานได้ และได้ออกไปเจอคนใหม่ๆ สิ่งใหม่ๆ ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีในชีวิต
การออกไปกองถ่าย พบเจอผู้คน ช่วยบรรเทาความเหงาที่ต้องอยู่คนเดียวในป่าแบบนี้ได้บ้างไหม
เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับตัวบุคคลนะ บางคนอยู่ด้วยกันสิบคนเขาก็บอกว่าเหงา เพราะเขาไม่เคยฟังเสียงใครเลยนอกจากตัวเอง ผมอยู่คนเดียวแต่ตื่นมาก็ไม่เคยเหงา เพราะว่าได้ยินเสียงอะไรเยอะแยะ มีเสียงเรไรร้อง นกร้อง เพราะจังเลย น่ารัก สวยจังเลย มันขึ้นอยู่กับวิถีชีวิตของแต่ละคน อาจจะมีบ้างที่ไปทำธุระที่ไหนแล้วใกล้ใคร ก็จะนัดมาเจอกันเพราะความคิดถึง แต่ถ้าเหงาจนต้องออกไปหาใคร หรือออกไปทำอะไรสักอย่างผมไม่เคยเป็น
ตอนที่ภรรยาเสียชีวิต จนคุณต้องไปอยู่อเมริกา ตอนนั้นเรียกว่าเหงาได้หรือเปล่า
ไม่เหงา มันเป็นหลายๆ อย่างที่เกิดขึ้นในสมองว่าเขาจากไปโดยปุบปับ ตั้งตัวไม่ติด ไม่ใช่เหงาเลย เพราะถ้าเหงาผมต้องไปอยู่วัด หรือเรียกเพื่อนมาอยู่ด้วย นั่นผมก็ไปอยู่อเมริกาของผมคนเดียว ไม่ได้ไปกวนใคร ผมไปเพื่อใช้เวลาในการใคร่ครวญกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น และใช้เวลาเป็นตัวเยียวยากับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องที่สุดว่าไม่มีอะไรเยียวยาความเจ็บปวดของเราได้เท่ากับเวลา ค่อยๆ อยู่ ค่อยๆ คิด ค่อยๆ แข็งแรง เมื่อพร้อมแล้วก็กลับมา
ทุกวันนี้ยังมีเรื่องอะไรให้ต้องคิด ใคร่ครวญ หาคำตอบอยู่ไหม
ถ้าอยู่ๆ ให้ไปคิดใคร่ครวญถึงอะไรก็คงจะบ้านะ (หัวเราะ) จนกว่าเราจะมีปัญหาหรืออุปสรรคในการทำงานค่อยไปคิดแก้ไข แล้วทุกวันนี้ผมก็ไม่ค่อยมีปัญหาหรืออุปสรรคมากระทบบ่อยๆ เพราะทั้งการทำสวน ทำงาน ชีวิต มันผ่านขั้นตอนที่เจ็บปวด สับสน อ่อนไหว เสียน้ำตาเหล่านั้นมาหมดเลย
หลายๆ บทในละครหรือภาพยนตร์พีเรียดที่คุณได้รับ มักจะเกี่ยวข้องกับเรื่องโหราศาสตร์อยู่เสมอ แล้วในชีวิตจริงคุณมีความคิด ความเชื่อในสิ่งเหล่านั้นมากน้อยขนาดไหน
ผมเชื่อในโหราศาสตร์สมัยก่อนนะ ซึ่งมันต่างจากการดูหมอ การทำนายโชคชะตาในสมัยนี้ โหราศาสตร์คือศาสตร์ที่เขาใช้ในการคำนวณมาเป็นพันปี อิงกับความเป็นมา แต่ปัจจุบันเราเหลือเพียงแค่การทำนายทายทักซึ่งผมไม่ค่อยได้สนใจเท่าไร
แสดงว่าในชีวิตที่ผ่านมาไม่เคยให้หมอดูดวง
ไม่เคย ไม่นับเวลาออกรายการ คนนี้เกิดราศีๆๆ แล้วจะเป็นแบบนี้ๆๆ ฟันธง โช๊ะ (หัวเราะ) แค่นั้น แต่ถ้าแบบช่วยดูดวงให้ผมหน่อยนะครับ เท่าไรก็ได้ อันนี้ไม่เคย หรือแม้กระทั่งพวกเคล็ดอะไรต่างๆ ที่เขานับถือกันผมก็ไม่มีนะ
ตั้งแต่อายุ 20 กว่าๆ เรียนจบกลับมาผมก็เริ่มเข้ามาวัดเลย เพราะธรรมะคือธรรมชาติที่เชื่อถือได้มากที่สุด หลักการเดียวเลย ใครทำอะไร ได้อย่างนั้น
ไม่เชื่อเรื่องดวง ไม่ถือเคล็ด แล้วมีอะไรบ้างไหมที่คุณยึดถือเป็นที่พึ่งในการใช้ชีวิตมาตลอด
พระพุทธศาสนาอย่างเดียวเท่านั้นครับ ตั้งแต่อายุ 20 กว่าๆ เรียนจบกลับมาผมก็เริ่มเข้ามาวัดเลย เพราะธรรมะคือธรรมชาติที่เชื่อถือได้มากที่สุด หลักการเดียวเลย ใครทำอะไร ได้อย่างนั้น นั่นคือสิ่งเดียวที่ตอบคำถามที่คุยกันมาทั้งหมดว่าทำไมผมถึงต้องพยายามทำทุกอย่างให้ถูกต้อง ให้เป็นเรื่องที่ดี เพราะผมเชื่อว่าถ้าผมทำดี ผมก็จะได้สิ่งที่ดีกลับมา
อายุ 20 กว่าๆ น่าจะเป็นช่วงวัยรุ่นที่ออกห่างจากวัดได้มากที่สุดเลยนะ
แล้วแต่ใครจะคิด ผมคิดว่าผมไม่ได้ออกห่างอะไรเลย วัดผมก็เข้า ดิสโก้ ไนต์คลับก็เที่ยว อาบอบนวดก็เที่ยว ทำไมต้องออกห่างล่ะ เราสามารถทำทุกอย่างได้พร้อมกันหมด และคุณถึงจะสามารถเลือกได้ว่าอะไรดีก็เก็บเอาไว้ อะไรไม่ดีก็ตัดออกไปจากชีวิต ทุกวันนี้ผมก็ตัดเรื่องอาบอบนวดมาตั้ง 50 ปีแล้ว แอลกอฮอล์ก็เลิกกินมา 40 กว่าปี
แค่เราเข้าไปเพื่อให้รู้ว่าไม่ชอบแล้วก็ออกมา อย่างเหล้ากินทีไรก็เมา ไปอาบน้ำทีไรก็เสียเงินทีละ 2-3 พันบาท ซึ่งในสมัยนั้นผมสามารถเอามาเลี้ยงคนงานได้ 3 คน คิดได้แบบนั้นก็มาทำในสิ่งที่ถูกต้องดีกว่า นี่คือศาสนาพุทธ เข้าไปเพื่อคิด ไม่ใช่เข้าไปเพื่องมงาย แล้วขวนขวายว่าต้องได้ทุกอย่างจากศาสนา จะต้องสักยันต์ ตีรันฟันแทง ยิงไม่เข้า ผมเข้าไปที่วัดผมก็ไปเพื่อ ‘ไหว้’ พระ ไม่ได้ไป ‘เช่า’ พระราคาหลายสิบล้าน เราเข้าไปเพื่อให้รู้ว่านี่คือสิ่งดี ที่เราสามารถยึดถือ เช่นเดียวกับอบายมุขหรือสิ่งไม่ดีต่างๆ ที่รู้ว่าไม่ดีก็เอาตัวออกมาแค่นั้นพอแล้วสำหรับชีวิตที่เราพึงมี
- ตลอดเวลา 50 ปี ในวงการบันเทิง นิรุตติ์มีผลงานภาพยนตร์และละคร (เท่าที่มีการบันทึกไว้) รวมกันมากกว่า 250 เรื่อง โดยภาพยนตร์เรื่อง ดาร์บี้ ในปี พ.ศ. 2516 เป็นผลงานแจ้งเกิดทำให้เริ่มมีโอกาสในงานการแสดงมากขึ้น และค่อยๆ สะสมผลงานละครเด่นๆ อย่าง คู่กรรม ในปี พ.ศ. 2521 และ ผู้กองยอดรัก ในปี พ.ศ. 2522 ก่อนที่จะเป็นที่รู้จักในวงกว้างจากบทบาท ‘จะเด็ด’ จากเรื่อง ผู้ชนะสิบทิศ
- ในปี พ.ศ. 2539 อรวรรณ ศิริจรรยา ภรรยาของนิรุตต์เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่จังหวัดระยอง ทำให้เขาตัดสินใจย้ายไปใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอเมริกาเป็นเวลา 6 ปี ก่อนที่จะกลับมาอยู่ที่ประเทศไทยอย่างถาวรอีกครั้ง
- ทุกวันนี้นิรุตติ์ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่บ้านไร่ทองจันทร์ จังหวัดจันทบุรี โดยมีคนงานที่รู้ใจเพียงไม่กี่ชีวิตและสุนัขพันธุ์บางแก้วอีก 20 กว่าตัวเป็นเพื่อน