หลายคนอาจจะเคยดูภาพยนตร์ที่พระเอกเก่ง เพราะมีพรสวรรค์ติดตัวมาตั้งแต่เกิด ก่อนจะประสบปัญหาชีวิตจากการตัดสินใจพลาดหรืออาการบาดเจ็บจนดูเหมือนจะไม่มีอนาคต แต่สุดท้ายด้วยความเชื่อมั่น พระเอกคนนั้นก็กลับขึ้นมาสู่จุดสูงสุดได้อีกครั้ง พร้อมกับบทเรียนสำคัญที่ได้เรียนรู้ตลอดการเดินทางผ่านมรสุม
ถ้าภาพยนตร์เรื่องนั้นเป็นหนังชีวิต ก็คงเป็นหนังชีวิตที่ใกล้เคียงกับชีวิตจริงในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาของศูนย์หน้าชาวโคลอมเบียวัย 31 ปี ชื่อ ราดาเมล ฟัลเกา (Radamel Falcao)
Photo: DAMIEN MEYER, AFP
จุดเริ่มต้นความตกต่ำของหนึ่งในศูนย์หน้าที่ดีที่สุดในโลก
ย้อนไปเมื่อฤดูกาล 2011-12 และ 2012-13 ราดาเมล ฟัลเกา เป็นยอดศูนย์หน้าหมายเลข 9 ประจำทีมแอตเลติโก มาดริด ซึ่งในช่วง 2 ฤดูกาลนั้น ฟัลเกาเป็นกองหน้าที่ครบเครื่องมากที่สุดคนหนึ่งในทวีปยุโรป และสามารถยิงประตูได้ทุกสถานการณ์ ซึ่งบางคนถึงกับเปรียบเทียบเขากับตำนานศูนย์หน้าเบอร์ 9 อย่าง กาเบรียล บาติสตูตา, อลัน เชียเรอร์ และโล้นทองคำ โรนัลโด
“คุณต้องเป็นคนที่ครบเครื่องและทำได้ทุกอย่างจึงจะสามารถยิงประตูได้” นั่นคือสิ่งที่ราดาเมล ฟัลเกา ทำได้ เขายิง 70 ประตูใน 2 ฤดูกาล และฉลองทุกประตูราวกับว่าเป็นประตูชัยในนัดชิงชนะเลิศศึกฟุตบอลโลก
ปี 2012 ดีเอโก ซิเมโอเน กุนซือทีมตราหมี แอตเลติโก มาดริด ถึงกับออกปากชม หลังจากฟัลเกาพาทีมไปถล่มเดปอร์ติโบ ลา คอรุนญา 6-0 ซึ่งเกมนั้นฟัลเกาเหมาคนเดียวถึง 5 ประตู
“มันเป็นคืนที่วิเศษมาก ฟัลเกาคือกองหน้าที่ดีที่สุดในโลก”
คำเชิดชูจากผู้จัดการทีม สถิติการยิงประตู รวมถึงสไตล์การเล่นที่ดุดัน ทำให้ฟัลเกาถูกสโมสรยักษ์ใหญ่ทั่วยุโรปจับตามอง ชีวิตของฟัลเกาไม่ต่างอะไรกับพระเอกหนังที่เราได้กล่าวไว้เมื่อต้นเรื่อง
แต่แล้วหนึ่งปีถัดมา เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น หลังจากที่เขาย้ายไปรวมทีม โมนาโกได้เพียง 6 เดือน เขาก็มีปัญหาอาการบาดเจ็บเอ็นไขว้หน้าข้อเข่าซ้ายฉีกระหว่างการลงช่วยทีมทำศึกเฟรนช์คัพ รอบ 32 ทีมสุดท้าย เมื่อวันที่ 22 มกราคม ปี 2014
ฟัลเกาต้องใช้เวลารักษาตัวอยู่หลายเดือน และพลาดโอกาสลงช่วยทีมชาติโคลอมเบียในศึกฟุตบอลโลก 2014 ที่ประเทศบราซิล แต่สถานการณ์ย่ำแย่ที่สุดของเขาเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น
แข่ง 41 นัด ยิงได้ 5 ประตู หลุมลึกแห่งความล้มเหลวและการฟื้นคืนชีพอีกครั้ง
ฟัลเกาได้ย้ายไปร่วมทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในปี 2014-15 และเชลซี ในปี 2015-16 แบบยืมตัว เขาลงสนามทั้งหมด 41 ครั้ง ยิงไปเพียง 5 ประตู แฟนกีฬาต่างก็ถอดใจและยอมรับสภาพว่า ยอดศูนย์หน้าที่เคยกระชากหนีกองหลังจนทำประตูได้จากทุกมุมกลายเป็นนักเตะที่กองหลังสามารถเบียดสกัดบอลได้อย่างง่ายดาย
สถานการณ์ตอนนั้น ความสามารถของฟัลเกาที่เคยเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดูเหมือนกำลังจะดับไปจากแสงสปอตไลต์ของฟุตบอลระดับสูงสุด
แต่ฟัลเกาก็กลับมาฟื้นคืนชีพอีกครั้งหลังกลับไปร่วมทีมโมนาโก สโมสรต้นสังกัด ภายใต้การคุมทีมของเลโอนาร์โด ยาร์ดิม ซึ่งทีมโมนาโกของเขาสร้างเซอร์ไพรส์ทั้งในลีกเอิงฝรั่งเศสและฟุตบอลยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก โดยมีฟัลเกาเป็นหัวใจสำคัญในเกมรุก
โมนาโก ภายใต้การนำทีมของยาร์ดิม สร้างความตื่นเต้นให้แฟนบอลทั่วยุโรปด้วยสไตล์เกมรุกที่รวดเร็ว โดยปรับมาใช้กองหน้า 2 คน ซึ่งช่วยส่งเสริมความสามารถของฟัลเกาได้เป็นอย่างดี
จากความสำเร็จของทีมและฝีเท้าอันโดดเด่นของเขา ทำให้ชื่อของฟัลเกากลับมาสู่หน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์อีกครั้งคู่กับคีเลียน เอ็มบัปเป ศูนย์หน้าดาวรุ่งชาวฝรั่งเศส
แม้ฟัลเกาจะไม่ได้ฟื้นคืนสภาพเหมือนฤดูกาล 2011-13 ที่เล่นสไตล์หัวหอกในเกมรุก ฉุดกระชากลากเลี้อยจากแดนกลางขึ้นไปทำประตู แต่การเล่นเป็นศูนย์หน้าแบบประสานงานกับเอ็มบัปเป ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในกรอบเขตโทษ และไม่ได้แสดงความดีใจหลังยิงประตูแบบสุดโต่งเหมือนเมื่อก่อน แสดงให้เห็นถึงการเติบโตทั้งความสามารถและสไตล์การเล่น จากบทเรียนที่ได้รับมาในช่วงตกต่ำ ทำให้เขามองโลกฟุตบอลแตกต่างจากเดิม
แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนไป ฟัลเกายังคงเป็น ‘ที่พึ่ง’ ของทีม
19 ประตูในลีก และ 7 ประตูจากการลงสนาม 9 นัดในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก
ทั้งที่ 12 เดือนก่อนหน้านี้ ฟัลเกาเป็นเพียงแค่นักฟุตบอลคนหนึ่งที่เคยประสบความสำเร็จ ยิงได้ 5 ประตูจากการลงสนาม 45 นัด และกำลังจะหมดความหมาย
Photo: VALERY HACHE, AFP
“ผมเชื่อว่าผมจะยิงประตูได้…” เพชฌฆาตกับความหวังที่ไม่เคยมอดดับ
ชีวิตการค้าแข้งของฟัลเกาไม่ต่างจากรถไฟเหาะที่ขึ้นไปสูงสุดก่อนจะลงต่ำสุด แล้วกลับมาขึ้นสู่จุดสูงสุดได้อีกครั้งในวัย 31 ปี
ถึงแม้ว่าในศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกรอบรองชนะเลิศ เขาจะไม่สามารถทะลวง แนวรับที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งที่สุดของยุโรปอย่างยูเวนตุส และตกรอบรองชนะเลิศ แต่เขาก็สามารถทำลายกำแพงความคาดหวังและความกดดันจนกลับมาเป็นเพชฌฆาตอันดับต้นๆ ของยุโรปได้อีกครั้ง ชีวิตของฟัลเกาเป็นการพิสูจน์ให้เห็นว่า หากคุณมีความมั่นใจในสิ่งที่คุณทำและมีความมุ่งมั่นกับมันมากพอ สุดท้ายคุณก็จะได้รับผลตอบแทนที่หอมหวานสมกับสิ่งที่คุณได้เสียสละ
หนทางอาจจะดูไร้อนาคต และหากคุณยังมีความหวัง วันหนึ่งความสำเร็จก็จะมาถึงคุณเอง
“ผมไม่เคยคิดว่าจะยิงประตูไม่ได้ ผมไม่เคยกังวลเลย” ฟัลเกากล่าวไว้ในวันที่เขาค้าแข้งกับแอตเลติโก มาดริด
“ผมเชื่อว่าผมจะยิงประตูได้ ผมรู้ ไม่ว่านานขนาดไหนผมก็จะรอ และประตูมันก็จะมาเอง”
อ้างอิง: