ฤดูร้อนนี้ของวงการฟุตบอลเป็นฤดูร้อนที่บ้าคลั่งอย่างแท้จริงครับ
นอกจากเราจะได้เห็นข่าวการย้ายทีมของผู้เล่นจำนวนมากที่ชวนให้รู้สึกว่า ‘บ้าไปแล้ว’ นี่ยังเป็นฤดูร้อนที่เราได้เห็นข่าวการย้ายทีมของผู้เล่นในกลุ่ม Elite ที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกหลายคน
ไม่ว่าจะเป็น คีเลียน เอ็มบัปเป (Kylian Mbappe) มาจนถึง คริสเตียโน โรนัลโด (Cristiano Ronaldo), แกเร็ธ เบล (Gareth Bale)
ถึงจะเป็นข่าวที่ผ่านมาและผ่านไป แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความเคลื่อนไหวเรื่องการย้ายทีมเหล่านี้ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนปฐพีในระดับ 9.0 ตามมาตราริกเตอร์ แม้ว่าจะไม่สำเร็จก็ตาม
แต่ล่าสุดคือกรณีของข่าว เนย์มาร์ กับสโมสรปารีส แซงต์-แชร์กแมง ที่มาแบบไม่มีใครคาดคิดและเวลานี้กำลังเป็นที่จับตามองอย่างมากว่าบทสรุปสุดท้ายเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร
‘ลวงโลก’ หรือ ‘บันลือโลก’?
จุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง
ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มต้นข่าวการย้ายทีมของ เนย์มาร์ เกิดขึ้นหลังจากที่มีรายงานข่าวเมื่อวันอังคารที่ผ่านมาโดย Globo Esporte สื่อในบราซิลรายงานว่าซูเปอร์สตาร์อันดับหนึ่งของประเทศตอบรับข้อเสนอจากสโมสร ปารีส แซงต์-แชร์กแมง โดยจะได้รับเงินค่าตอบแทนมากมายมหาศาล
ตัวเลขที่ประเมินกันไว้คือ เนย์มาร์ จะได้รับค่าตอบแทนสูงถึงปีละ 30 ล้านยูโรต่อปี ไม่นับเงินค่าตอบแทนจากลิขสิทธิ์ภาพลักษณ์
ข่าวทำนองนี้ไม่ใช่ครั้งแรกครับที่ปรากฏ ที่ผ่านมานักเตะในระดับซูเปอร์สตาร์หลายรายต่างก็เคยตกเป็นข่าวว่าตอบรับข้อเสนอของว่าที่สโมสรใหม่ล่วงหน้า แต่เราไม่ได้เห็นการย้ายทีมในลักษณะนี้เกิดขึ้นเลยในรอบหลายปีที่ผ่านมา
เหตุผลคือการย้ายทีมนั้นจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อมีการตกลงกันได้อย่างลงตัวระหว่าง สโมสรต่อสโมสร และสโมสรต่อผู้เล่น
ต่อให้ตกลงสิทธิประโยชน์กับนักฟุตบอลเรียบร้อยก็ไม่มีประโยชน์หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับสโมสรต้นสังกัดเดิมของผู้เล่นได้
แต่กรณีของ เนย์มาร์ แตกต่างออกไปเมื่อมีรายงานว่าทางด้าน ‘เปแอสเช’ พร้อมที่จะซื้อเนย์มาร์ มาร่วมทีมให้ได้ไม่ว่าจะด้วยเงื่อนไขใดก็ตาม
รวมถึงการจ่ายเงิน 222 ล้านยูโร เพื่อปลดล็อกสัญญาของสตาร์ชาวบราซิลมาร่วมทีม
นี่คือข้อแตกต่างจากหลายๆ ข่าวก่อนหน้านี้ครับ เพราะเปแอสเช มีความพร้อมมากพอที่จะทำให้เกิดดีลประวัติศาสตร์ได้ โดยที่แม้ทางด้านบาร์เซโลนา จะพยายามออกมาสยบกระแสข่าวผ่านคำพูดของผู้บริหารหลายราย รวมถึง โจเซฟ มาเรีย บาร์โตเมอู (Josep Maria Bartomeu) ประธานสโมสรคนปัจจุบันว่าจะไม่ขาย เนย์มาร์ ออกจากทีมเด็ดขาด
คำถามคือหาก เปแอสเช ยอมจ่ายเงินตามเงื่อนไขการปลดสัญญาจริง บาร์ซ่า จะมีเหตุผลอะไรไปขัดขวางได้อีก?
สำหรับ เนย์มาร์ หากมีทีมที่พร้อมทุ่มเงินมากมายมหาศาลเพื่อแลกกับการได้ตัวเขามาร่วมทีม ซึ่งแน่นอนว่าย่อมหมายถึงรายได้และสิทธิประโยชน์ที่จะได้มากขึ้น การจะตอบรับ ‘โอกาส’ เช่นนี้ในวิถีนักกีฬาอาชีพก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ได้ถือว่าผิดจรรยาแต่อย่างใด
และเท่าที่ติดตามกระแสข่าวต่อเนื่อง ซึ่งสื่อแข่งกันรายงานอย่างสนุกทั้งในสเปน อังกฤษ หรือฝรั่งเศส เองก็ตาม
ล่าสุด Globo Esporte อ้างว่า เนย์มาร์ ได้บอกกับเพื่อนสนิทแล้วว่าเขาจะย้ายไป เปแอสเช
นักเตะในฝันของสโมสรที่ทะเยอทะยาน
หากเป็นไปตามรายงานข่าวดังกล่าวจริง เราจะได้เห็นการย้ายทีมที่สะเทือนโลกในระดับที่เหนือกว่ากรณีของ คริสเตียโน โรนัลโด หรือ พอล ป็อกบา (Paul Pogba) ที่ตัวเลขสถิติการย้ายทีมของพวกเขาจะกลายเป็นเรื่องตลกทันทีเมื่ออยู่ต่อหน้าการย้ายทีมของ เนย์มาร์ (ซึ่ง ป็อกบา น่าจะชอบเพราะเขาจะได้ลดความกดดันลงเยอะมาก)
โดยที่การย้ายทีมครั้งนี้จะเป็นผลดีต่อทุกฝ่าย
สำหรับ เปแอสเช ในฐานะ ‘ผู้ซื้อ’ นักเตะที่ได้รับการยอมรับว่า ‘เก่งที่สุด’ คนหนึ่งของโลกในปัจจุบัน และมีโอกาสสูงที่จะพัฒนากลายเป็นนักเตะที่เก่งที่สุดในโลกแทนที่ของ โรนัลโด และ ลิโอเนล เมสซี (Lionel Messi) เนย์มาร์คือนักเตะที่พวกเขาต้องการมาโดยตลอด
อย่าลืมว่า เปแอสเช ไม่ใช่สโมสรฟุตบอลธรรมดา แต่เป็นสโมสรที่ ‘เป็นหน้าเป็นตา’ ของกาตาร์ด้วย
สโมสรฟุตบอลอันดับหนึ่งของฝรั่งเศสในปัจจุบัน (แม้ว่าจะเพิ่งก่อตั้งเมื่อปี 1970 ก็ตาม) ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของกลุ่มทุนจากตะวันออกกลางโดย Oryx Qatar Sports Investments (QSi) เข้ามาถือครองสโมสรตั้งแต่ปี 2011 เป็นต้นมา
เป้าหมายของพวกเขาในเชิงกีฬาตั้งแต่เริ่มแรกคือการสร้าง เปแอสเช ให้กลายเป็นสโมสรฟุตบอลอันดับหนึ่งของโลกให้ได้
ขณะที่เป้าหมายแอบแฝงคือการใช้กีฬาช่วยขยายฐานอำนาจของกาตาร์ เป็นการล่าอาณานิคมบนสนามหญ้าซึ่งเป็นสมรภูมิที่พวกเขาเชื่อว่าพวกเขาไม่มีวันแพ้เพราะมีอาวุธที่ทรงพลังที่สุดอย่าง ‘เงิน’ ที่ไม่มีใครจะมีมากเท่าหรือกล้าลงทุนเท่าพวกเขา
ที่ผ่านมา QSi ทำได้ดีกับ เปแอสเช ในการพลิกชะตาทีมที่ตกต่ำมาหลายปีให้กลายเป็นทีมอันดับหนึ่งของฝรั่งเศส และยกระดับขึ้นมาเป็นสโมสรชั้นนำของยุโรปได้สำเร็จภายใต้โมเดลในการทำทีมแบบ ‘โรมัน อับราโมวิช’ (Roman Abramovich)
สิ่งที่พวกเขายังไม่มีคือนักเตะในระดับสุดยอดของโลกที่ยังไม่หมดสภาพจากสโมสรอื่น
ที่ผ่านมาพวกเขาพยายามหานักเตะแบบนี้มาตลอดรวมถึง ลิโอเนล เมสซี ด้วยแต่ไม่เคยประสบความสำเร็จ
ดังนั้นหากได้ตัว เนย์มาร์ มาจริงๆ เขาจะเป็นนักเตะที่จะยกระดับ เปแอสเช ให้ยืนหยัดเทียบเท่ากับ บาร์เซโลนา, เรอัล มาดริด, บาเยิร์น มิวนิค, ยูเวนตุส หรือ เชลซี
ไม่นับเรื่องของมูลค่าทางการตลาดของ เนย์มาร์ เรื่องของแบรนด์ ฯลฯ ซึ่งหากคำนวณให้ดีแล้วตัวเลข 222 ล้านยูโร (หรือคิดรวมทั้งหมดทั้งมวลแล้วจะต้องจ่ายถึง 440 ล้านยูโร) อาจจะเป็นการลงทุนที่ไม่ได้แพงเลย
อาจจะถูกเกินไปด้วยซ้ำ
ตัวปัญหาภายใต้รอยยิ้ม
สำหรับ บาร์เซโลนา พวกเขาอาจจะเจ็บปวดหากต้องเสีย เนย์มาร์ ไปในวันที่สโมสรกำลังพยายามหลีกหนียุคตกต่ำอีกครั้ง
แต่หากหมายถึงการที่พวกเขาอาจจะได้นักเตะที่หมายปองมาตลอดอย่าง มาร์โก แวร์รัตติ ซึ่ง เปแอสเช เองก็ขัดขวางการย้ายทีมมาตลอดเช่นกัน และอาจจะเหลือเงินอีกร่วม 122 ล้านยูโร (หากประเมินค่าตัวของ แวร์รัตติที่ 100 ล้านยูโร เท่ากับที่ เปแอสเช พยายามตั้งกำแพงราคาไว้ก่อนหน้านี้)
มันมากพอที่ บาร์ซ่า จะเฟ้นหาสุดยอดนักเตะของโลกรายอื่นเข้ามาเสริมทีมได้อีก ซึ่งมันอาจจะหมายถึง คีเลียน เอ็มบัปเป ก็เป็นไปได้
หรืออาจจะจ่ายน้อยกว่านั้นสำหรับการดึง อเล็กซิส ซานเชซ (Alexis Sanchez) กลับมาจาก อาร์เซนอล
ใน ‘เบื้องหลัง’ แล้ว บาร์ซ่าเองก็เอือมกับพฤติกรรมของ เนย์มาร์ ที่ระยะหลังมีอาการ ‘ระเริง’ ตามสไตล์นักฟุตบอลที่มาจากชาติที่สุขนิยมอย่างบราซิล ที่รักในดนตรี แสงสี และการปาร์ตี้
วันที่เขาเป็น ‘ฮีโร่’ มีส่วนร่วมกับ 3 ประตูในช่วงท้ายเกมที่ทำให้ บาร์ซ่า สร้างปาฏิหาริย์พลิกกลับมาเข้ารอบ แชมเปี้ยนส์ ลีก ด้วยการถล่ม เปแอสเช 6-1 ที่คัมป์ นู มีรายงานข่าวว่าหลังจบเกม เนย์มาร์ ไปท่องราตรีต่อกับ ลูอิส แฮมิลตัน (Lewis Hamilton) ยอดนักขับเอฟวันชาวอังกฤษที่เป็นคู่ซี้ตั้งแต่ปี 2016
ถัดมาอีก 4 วัน เนย์มาร์ พลาดการลงสนามในเกมกับ เดปอร์ติโบ ลา คอรุนญ่า และเกมนั้น บาร์เซโลนา เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ ซึ่งกลายเป็นเรื่องน่าสงสัยว่าเขาพลาดการลงสนามเกมดังกล่าวเพราะอาการบาดเจ็บจริงหรือไม่
ที่เป็นเช่นนั้นเพราะมันดูเป็นเรื่อง ‘บังเอิญ’ อย่างมาก ที่ เนย์มาร์ พลาดเกมในช่วงเวลานั้นเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน – ช่วงเวลาที่เป็นช่วงวันเกิดของน้องสาว ราฟาเอลลา (Rafaella) พอดี
เนย์มาร์ ยังมักจะ ‘แว้บ’ เสมอเมื่อมีโอกาสได้พักด้วยการบินไปลอนดอนเพื่อสังสรรค์กับ แฮมิลตัน และ จัสติน บีเบอร์ (Justin Bieber) นักร้องคนดังชาวแคนาดา ที่กลายเป็นอีกหนึ่งคู่ซี้ของเขา (ที่เคยเชิญมาเตะฟุตบอลเล่นที่สนามซ้อมของบาร์ซ่า)
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็น่าเป็นกังวลว่า เนย์มาร์ อาจตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกับ โรนัลดินโญ (Ronaldinho) อดีตรุ่นพี่ที่เคยเป็นนักเตะหมายเลขหนึ่งของโลกที่สุดท้ายไม่สามารถรักษาความยิ่งใหญ่ได้ยาวนานเนื่องจากชีวิตนอกสนามได้ทำร้ายชีวิตการเล่นในสนาม
ไม่นับกรณีปัญหาเรื่องการย้ายทีมที่อื้อฉาวและส่งกลิ่นคาวตั้งแต่ต้นในเรื่องทุจริต
อาจจะน่าเสียดาย แต่สำหรับบาร์ซ่า การปล่อยตัว เนย์มาร์ ไปนั้นทำใจได้ง่ายกว่าการเสีย ลิโอเนล เมสซี ที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของสโมสร
เจ้าชายใต้เงาราชา
สุดท้ายสำหรับ เนย์มาร์ เอง ผมเชื่อว่าเขาก็มองหาโอกาสในการย้ายทีมอยู่เช่นกันครับ
เพราะไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าไหร่ การแซงหน้า ลิโอเนล เมสซี เพื่อเป็นนักเตะหมายเลขหนึ่งของบาร์เซโลนา และเป็นนักเตะหมายเลขหนึ่งของโลกก็ดูจะเป็นเป้าหมายที่ห่างไกลออกไป
ถึงเหล่าผู้รู้ในโลกลูกหนังจะค่อนข้างมั่นใจว่านักเตะอย่าง เนย์มาร์ คือ ‘ว่าที่’ นักเตะหมายเลขหนึ่งของโลกอย่างแน่นอน แต่ดูเหมือนความอดทนของเขาจะมีจำกัดและตัวเขาเองก็ต้องการพิสูจน์เช่นกันว่าเขาไม่ได้เป็นรอง เมสซี หรือแม้แต่ โรนัลโด
มันก็ไม่ผิดอะไรนะครับถ้า เนย์มาร์ จะต้องการแบบนั้น เพราะตลอดมาเขาคือนักเตะที่ว่ากันว่าถูก ‘ลิขิต’ มาเพื่อให้เป็นราชาลูกหนังคนต่อไป
และหากมองผลงานของเขาในช่วงหลัง เราได้เห็นชัดและชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่าเขาเองแทบไม่เป็นรอง เมสซี เลยในหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะความสามารถในการตัดสินเกมด้วยตัวเองที่มีติดตัวไม่แพ้กัน
เพียงแต่ในสีเสื้อ บาร์เซโลนา มันเป็นเรื่องยากที่เขาจะเดินออกมาเปล่งประกายได้ในเมื่อเงาของราชาคนปัจจุบันอย่าง เมสซี ยังปกคลุมอาณาจักรลูกหนังคาตาลันอยู่
แม้กระทั่งการแสดงความเห็น เนย์มาร์ ยังถูกจำกัดให้ต้องชื่นชม เมสซี ออกมาเสมอ ซึ่งไม่ว่าจะเป็นการพูดจากใจหรือพูดโดยมารยาท มันก็เจ็บปวดอยู่ดีสำหรับนักเตะที่มีความมั่นใจสูงว่าไม่เป็นสองรองใครเช่นเขา
ด้วยเหตุผลนี้หากเขาคิดที่จะก้าวขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งให้ได้ เปลี่ยนสถานะจาก ‘เจ้าชาย’ ให้กลายเป็น ‘ราชา’ ในเวลานี้ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้าวออกมาจากคัมป์ นู เสีย
ไม่เช่นนั้นก็อยู่รอจนกว่า เมสซี จะแก่ตัวลง ซึ่งอาจจะใช้เวลา 3-5 ปี หรืออาจนานกว่านั้น
อย่างไรก็ดีในวงกว้างแล้ว เปแอสเช ไม่ใช่สโมสรที่ได้รับการยอมรับในวงกว้างนัก
เช่นกันกับ ลีก เอิง ที่เป็นลีกในระดับที่รองจาก ลาลีกา, พรีเมียร์ลีก, เซเรียอา หรือแม้แต่ บุนเดสลีกา
เพียงแต่หากนี่เป็นโอกาสที่จะได้ก้าวออกมาพ้นเงาของคนอื่น เป็นโอกาสที่จะได้ก้าวออกมาจาก Comfort zone ของตัวเอง เป็นการ Coming of age อีกขั้นของชีวิต
บางครั้งมันก็น่าเสี่ยง
ไม่ว่าราคาของการเดิมพันอาจจะหมายถึงทั้งชีวิตก็ตามครับ
Cover Photo: MARCO BERTORELLO/AFP