×

ฟลอยด์ – แม็คเกรเกอร์ ‘มวยสากล’ ปะทะ ‘MMA’ ศึกที่เดิมพันด้วยศักดิ์ศรี

15.06.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

10 Mins read
  • ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ กำปั้นผู้ไร้พ่ายชาวอเมริกัน จะคืนสังเวียนเจอกับ คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ ยอดนักสู้จากเวที MMA ในวันที่ 26 สิงหาคมนี้ ที่ T-Mobile Arena ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา
  • การชกจะมีขึ้นในกฎกติกาของมวยสากล ซึ่งฟลอยด์ได้เปรียบในเรื่องของประสบการณ์ ขณะที่แม็คเกรเกอร์ได้เปรียบในด้านของความฟิต ด้วยอายุเพียง 28 ปี และการออกหมัดที่ว่องไว
  • ไฟต์นี้เป็นไฟต์ที่ทุกคนรอคอย เพราะนอกจากทั้งคู่จะเป็นยอดฝีมือบนสังเวียนแล้ว ยังมีฝีปากที่ไม่เป็นรองใครในสนามของตัวเอง จึงมีบางคนรอติดตามงานแถลงข่าวก่อนชกมากกว่าวันที่ขึ้นชกจริงเสียอีก
  • ศึกนี้นอกจากจะได้เงินไปคนละ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แล้ว ยังมีศักดิ์ศรีของกีฬาตัวเองเป็นเดิมพัน เนื่องจากคนในวงการมวยสากลเชื่อมาตลอดว่า MMA หรือศิลปะการต่อสู้แบบผสมไม่มีฝีมือ และเทคนิคเท่ากับการชกมวยสากล ซึ่งหากแม็คเกรเกอร์ชนะขึ้นมา จะเป็นการตบหน้าวงการมวยสากลครั้งใหญ่

     ช่วงเช้ามืดของวันที่ 15 มิถุนายน (ตามเวลาประเทศไทย) ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ กำปั้นผู้ไร้พ่ายชาวอเมริกันวัย 40 ปี ได้โพสต์ข้อความลงทวิตเตอร์ พร้อมรูปโปสเตอร์ ‘ยืนยันอย่างเป็นทางการ’ ว่าเขาจะกลับมาเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ต่างวงการ ขณะที่คู่ชกของเขา คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ ยอดนักสู้จากสังเวียน MMA วัย 28 ปี ก็ตอบรับเช่นกันว่า ‘การต่อสู้เกิดขึ้นแล้ว’ (The fight is on.)

 

เส้นทางก่อนการชกครั้งนี้

     ถือว่าเป็นการยุติการเจรจาและการตอบโต้กันผ่านสื่อกระแสหลัก รวมถึงโซเชียลมีเดียมาอย่างยาวนานของทั้ง 2 คน ซึ่งที่มาของไฟต์นี้ทั้งหมด เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2015 ในรายการ The Tonight Show with Conan O’Brien ซึ่งช่วงนั้นแม็คเกรเกอร์กำลังสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง ด้วยสไตล์การสู้บนเวทีหกเหลี่ยมในรูปแบบของศิลปะการต่อสู้แบบผสม หรือ MMA ที่ไม่เป็นรองใคร รวมทั้งยังเป็นนักสู้คนหนึ่งที่มีฝีปากกล้าท้าต่อยไปทั่ว ซึ่งในคืนนั้นเขาถูกโคแนน โอ’ไบรอัน พิธีกรของรายการถามสั้นๆ ถึงความเป็นไปได้ที่เขาจะขึ้นชกกับ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ยอดนักชกไร้พ่ายชาวสหรัฐฯ ซึ่งแน่นอนว่าด้วยฝีปากอย่าง คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ ก็ตอบตกลงในทันทีพร้อมกับพูดสั้นๆ ว่า “ใครล่ะจะไม่อยากเข้าไปเต้นในเวทีมวยสัก 12 ยก และได้เงินไป 180 ล้านเหรียญสหรัฐฯ”

     ซึ่งแน่นอนว่าฟลอยด์ที่ขึ้นชื่อว่ามีฝีปากพอๆ กับฝีมือการชกของเขา ด้วยสถิติชก 49 ครั้งชนะ 49 ครั้ง ก็ได้ผลัดกันโต้ตอบผ่านทางสื่อมวลชน โดยระหว่างนั้นมีบางช่วงที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งดูเหมือนว่าจะไม่ขึ้นชก เนื่องจากการเจรจาเป็นไปอย่างยากลำบาก ทำให้แฟนมวยต้องรอลุ้นกัน ไม่ต่างกับแฟนบอลของปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในการรอซื้อตัวนักเตะอย่างเวสลีย์ สไนเดอร์ หลังฟุตบอลโลกปี 2010 (ซึ่งสุดท้ายแมนฯ ยู ก็ไม่สามารถคว้าตัวไปได้)

     แต่สุดท้ายเมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา ทั้งคู่ก็ได้ทวีตตอบตกลงว่าไฟต์จะมีขึ้นในวันที่ 26 สิงหาคมนี้ ที่ T-Mobile Arena  ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา

 

กฎกติกาบนสังเวียนต่างวงการ

     ไฟต์นี้ ฟลอยด์และแม็คเกรเกอร์จะขึ้นเวทีรูปแบบสี่เหลี่ยมธรรมดา 12 ยก ยกละ 3 นาที โดยสวมนวมคนละ 10 ออนซ์ ซึ่งแน่นอนว่าอาจทำให้นักสู้จอมโวชาวไอริชเสียเปรียบ แต่ด้วยความฟิตของแม็คเกรเกอร์ในวัย 28 ปี ซึ่งถือว่าเป็นช่วงที่นักกีฬามีสภาพร่างกายที่ดีที่สุด บวกกับฟลอยด์ที่ห่างหายจากการชกมวยสากลไปหลายปี และปัจจุบันมีอายุ 40 ปีแล้ว อาจจะไม่สามารถรับมือกับความเร็วของแม็คเกรเกอร์ได้

     โดยไฟต์นี้จะเป็นการชกกันในรุ่นน้ำหนักไลต์เวท 154 ปอนด์ ซึ่งจุดนี้ แม็คเกรเกอร์ค่อนข้างได้เปรียบ เพราะปัจจุบันชกในรุ่นน้ำหนักนี้อยู่แล้ว ขณะที่ฟลอยด์ไม่ค่อยได้ขึ้นชกในรุ่นน้ำหนักนี้ และทั้งคู่จะถูกตรวจสารกระตุ้นโดย United States Anti-Doping Agency (USADA) ที่รับผิดชอบในการตรวจสารกระตุ้นให้กับ UFC อยู่ในขณะนี้

     สาเหตุที่กฎกติกาในไฟต์นี้ถูกกำหนดให้ชกกันในรูปแบบมวยสากลเนื่องจากแฟนกีฬาหมัดมวย รวมถึงตัวของฟลอยด์และแม็คเกรเกอร์เองก็ยอมรับว่า หากฟลอยด์ไปชกในเวทีหกเหลี่ยมภายใต้กฎของศิลปะการต่อสู้แบบผสม แน่นอนว่า แม็คเกรเกอร์จะคว้าชัยไป ซึ่งเป็นที่มาของข้อถกเถียงว่า แล้วกีฬาชนิดไหนใช้ความสามารถมากกว่ากัน ซึ่งการที่แม็คเกรเกอร์ตัดสินใจก้าวข้ามมาขึ้นชกมวยสากล ก็เป็นการแบกรับชื่อเสียงของศิลปะการต่อสู้แบบผสมบนสังเวียนมวยสากลอาชีพ ขณะเดียวกันฟลอยด์ก็ต้องรักษาชื่อเสียงของมวยสากลอาชีพไว้ให้ได้ด้วยชัยชนะเท่านั้น นอกจากนี้หากเขาเก็บชัยชนะในไฟต์นี้ได้ ก็จะทำสถิติชก 50 ครั้ง ชนะ 50 ครั้ง มากกว่าร็อคกี มาร์เซียโน ตำนานนักมวยสากลอาชีพชาวอิตาเลียน ที่ทำไว้ 49-0-0 นั่นเอง

 

ประวัตินักชกทั้งสอง  

     เริ่มต้นที่ัฝั่งของ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ เป็นบุคคลที่เกิดขึ้นมาเพื่อชกมวยโดยเฉพาะ โดยมีคุณพ่อ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ ซีเนียร์ และลุงโรเจอร์ เมย์เวทเธอร์ เป็นผู้ฝึกสอนให้ตั้งแต่เด็ก

     โดยฟลอยด์เคยขึ้นชกในนามทีมชาติสหรัฐฯ ในโอลิมปิกฤดูร้อน ปี 1996 ที่เมืองแอตแลนตา รัฐจอร์เจีย โดยสามารถผ่านเข้าถึงรอบรองชนะเลิศที่พบกับ เซราฟิม โทโดรอฟ นักมวยชาวบัลแกเรีย ปรากฏว่าฟลอยด์เป็นฝ่ายแพ้ไป 8-10 หมัด ทำให้ได้แค่เหรียญทองแดง (ต่อมาในรอบชิงชนะเลิศ โทโดรอฟคือคู่ชิงของ สมรักษ์ คำสิงห์ นักมวยชาวไทย และเป็นฝ่ายแพ้แก่สมรักษ์)

     และนั่นคือความพ่ายแพ้ครั้งสุดท้ายของเขาบนสังเวียน ก่อนที่เขาจะหันมาชกมวยสากลอาชีพ ซึ่งฟลอยด์ก็เอาชนะคู่แข่งได้ครบทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นนักมวยที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายคน อาทิ ออสการ์ เดอ ลา โฮยา, ริคกี ฮัตตัน, แซบ จูดาห์, ฮวน มานูเอล มาร์เกวซ, อาร์ตูโร กัตติ, ดีเอโก คอร์ราเลส, มิเกล คอตโต้, ซาอูล อัลวาเรซ, มาร์กอส ไมดานา, แมนนี ปาเกียว ซึ่งสามารถเอาชนะได้ทุกคนไม่ว่าจะเป็นการชนะคะแนนหรือชนะน็อก

     ซึ่งฟลอยด์นั้นมีรูปแบบการชกที่ว่องไว การออกหมัดทำได้อย่างคมกริบ และเฉียบขาด อีกทั้งเป็นนักมวยที่มีการชกแบบป้องกันตัวได้ดีเยี่ยม จนได้รับฉายาว่า ‘พริตตี้บอย’ และเป็นแชมป์โลกถึง 5 สถาบัน ด้วยสถิติชก 49 ครั้ง ชนะ 49 ครั้ง โดยไฟต์สุดท้ายของเขาคือ อังเดร เบอร์โต เมื่อปี 2015 ซึ่งเขาเอาชนะไปอย่างง่ายดาย

 

     ฝั่งของ คอเนอร์ แม็คเกรเกอร์ จากจิ๊กโก๋ข้างถนนสู่ยอดนักสู้ MMA

     แม็คเกรเกอร์มีต้นทุนชีวิตในศิลปะการต่อสู้ที่ด้อยกว่าฟลอยด์ แม็คเกรเกอร์เคยมีความหลงใหลในกีฬาฟุตบอลช่วงวัยเด็ก ก่อนที่ตอนอายุ 12 ปี เขาจะเริ่มหันมาสนใจ Kickboxing เนื่องจากเป็นเด็กเกเรและชอบใช้ความรุนแรง รวมถึงยังเป็นคนที่ใจร้อนมากกว่าวัยรุ่นทั่วไป โดยเขาเลือกที่จะใช้อารมณ์แก้ไขปัญหามาตลอด

     ก่อนจะเข้าฝึกฝนฝีมือในยิมของ Crumlin Boxing Club ของ Philip Sutcliffe นักกีฬามวยดีกรีโอลิมปิก 2 สมัย แถมยังเคยฝึกวิชากับ Wild Card Gym ของ Freddie Roach เทรนเนอร์ของแมนนี ปาเกียว อีกด้วย ก่อนที่ในปี 2006 เขาและครอบครัวจะย้ายจากดับลิน ไอร์แลนด์ มาอยู่ที่สหรัฐอเมริกา ทำให้เขาได้รู้จักกับ UFC หรือการแข่งขันศิลปะการต่อสู้แบบผสมเป็นครั้งแรก  

     ซึ่งเขาใช้เวลาเพียงไม่กี่ปีก็สามารถเซ็นสัญญาอาชีพกับ UFC ได้สำเร็จ จนมาถึงวันนี้ เขามีสถิติชก 24 ครั้ง ชนะ 21 แพ้ 3 และเป็นการชนะแบบน็อกเอาต์ถึง 18 ครั้ง รวมถึงเป็นนักชกคนแรกที่สามารถคว้าแชมป์ได้สองรุ่นในศึก UFC อีกด้วย

     เบื้องหลังความสำเร็จของแม็คเกรเกอร์ก็คือ แฟนสาวที่มีชื่อว่า Dee Devlin ที่คบกันมายาวนานถึง 8 ปี โดยแม็คเกรเกอร์ยอมรับว่าเขามีทุกวันนี้ได้เพราะเธอ

     “เธอทำเพื่อผมมาเยอะมากๆ คอยชี้นำทางที่ถูกต้องให้ผมมาเสมอ ในตอนนั้น เธอและผมต้องผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน แต่เธอไม่เคยทิ้งผมไปไหน”

 

 

รูปแบบการชกอาจออกมาน่าเบื่อ

     ฟลอยด์ถูกโจมตีบ่อยครั้งเรื่องการชกที่ไม่สมศักดิ์ศรี เนื่องจากเป็นมวยรับ ตั้งการ์ดด้วยหัวไหล่ และอาศัยการจิ้มชกสวนในช่วงยกแรกๆ ก่อนที่ยกหลังๆ ช่วงที่คู่ต่อสู้เหนื่อยล้าจากการพยายามทำลายเกราะ ฟลอยด์ก็จะเริ่มออกหมัดใส่อย่างแม่นยำ ซึ่งเห็นได้ชัดจากความผิดหวังของแฟนกีฬาหลายคนที่มีต่อไฟต์หยุดโลก ระหว่างฟลอยด์กับปาเกียว ซึ่งคนที่ติดตามมวยสากลมากพอควร จะเข้าใจได้ว่าทั้งคู่ต้องวางแผนการชกที่รัดกุม เนื่องจากมีศักดิ์ศรีสไตล์การชกของทั้งคู่เป็นเดิมพัน จนสุดท้ายผลลัพธ์จึงเป็นการชกที่ไม่ได้มีหมัดเข้าเป้าจังๆ มากเท่าไรนัก เนื่องจากทั้งคู่สูสีกันมาก แต่สุดท้ายก็เป็นฟลอยด์ที่ชนะไป เนื่องจากออกหมัดได้แม่นยำกว่า

     ขณะที่แม็คเกรเกอร์มีความเร็วและหนักในการออกหมัดซ้าย ซึ่งแน่นอนว่าหากฟลอยด์ในวัย 40 โดนหมัดแม็คเกรเกอร์ในวัย 28 ปีจังๆ สักครั้ง เราอาจจะได้เห็นไฟต์นี้จบเร็วกว่าที่คิด แต่ที่ผ่านมาฟลอยด์ก็เคยเจอกับ คาเนโล อัลวาเรซ นักชกชาวเม็กซิกัน วัย 22 ปี ซึ่งขณะนั้นฟลอยด์มีอายุ 36 ปี ห่างกันถึง 14 ปี แต่ไฟต์ในปี 2013 นั้น อัลวาเรซไม่สามารถเข้าใกล้ฟลอยด์ได้เลย จนสุดท้ายฟลอยด์ชนะไปแบบง่ายดาย

     ซึ่งสิ่งที่หลายคนกังวลคือ ไฟต์นี้เราอาจจะได้เห็นฟลอยด์ที่มาในแผนเดิมคือ ตั้งรับและดักชกจนคู่ต่อสู้หมดแรง แม็คเกรเกอร์ซึ่งปกติชกแค่ 3 ยก ยกละ 5 นาที ต้องปรับตัวมาชก 12 ยกแทนจะสามารถทำได้ดีขนาดไหน และที่สำคัญคือหากแม็คเกรเกอร์ไม่สามารถเจาะเกราะของฟลอยด์ได้ เหมือนนักชก 49 คนที่ผ่านมา เราอาจจะได้เห็นไฟต์ที่น่าเบื่อเหมือนไฟต์ช่วงท้ายอาชีพของฟลอยด์ได้เช่นกัน

 

ศักดิ์ศรีของกีฬาเป็นเดิมพัน

     ในการชกครั้งนี้ นอกจากนักมวยจะได้รับเงินคนละ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ​ แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่นักมวยทั้งสองคำนึงถึงคือ ศักดิ์ศรีของอาชีพตนเอง ด้วยชื่อเสียงที่ฟลอยด์สร้างให้กับวงการมวยสากล ไม่ว่าจะเป็นรายได้มหาศาลและชื่อเสียง ทำให้เขาได้รับการยอมรับว่าเป็นตัวแทนของมวยสากลในยุคนี้ เช่นเดียวกับแม็คเกรเกอร์ที่สร้างความนิยมให้กับกีฬา MMA มากขึ้นด้วยบุคลิกและสไตล์การต่อสู้ของเขา ทำให้เขาถูกมองว่าเป็นภาพแทนของ MMA เช่นกัน

     ซึ่งที่ผ่านมาหลายคนตั้งข้อสังเกตว่า ความนิยมของมวยสากลอาชีพกำลังเข้าสู่ขาลง หลังจากที่ฟลอยด์ตัดสินใจเกษียณเมื่อปี 2015 ทำให้วงการขาดมวยแม่เหล็กไป ในขณะเดียวกันแม็คเกรเกอร์ก็กำลังสร้างความนิยมให้กับกีฬา MMA อย่างต่อเนื่อง เปรียบเสมือนแม็คเกรเกอร์ กับ MMA เตรียมขึ้นแย่งบัลลังก์ความนิยมจากมวยสากลของฟลอยด์นั่นเอง

     ทำให้ศึกนี้เป็นการสู้เพื่อศักดิ์ศรีของกีฬา ซึ่งคนในวงการมวยสากล กีฬาที่อยู่มาอย่างยาวนานต้องถูกท้าทายด้วยคลื่นลูกใหม่อย่าง MMA ที่มีทั้งความตื่นเต้นและหลากหลายกว่า ทำให้การชกในวันที่ 26 สิงหาคมนี้ จะเป็นสงครามแห่งยุคสมัยและศักดิ์ศรีอย่างแท้จริง

 

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

X
Close Advertising