×

จากเด็กที่ปืนจ่อหน้า พ่อแม่ติดยา ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ เป็นนักสู้ที่ดีที่สุดตลอดกาลได้อย่างไร

25.07.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

7 Mins. Read
  • ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ กำลังจะขึ้นชกไฟต์ประวัติศาสตร์อีกครั้ง กับการพบกับ คอเนอร์ แม็กเกรเกอร์ ยอดนักชก MMA ในวันที่ 27 สิงหาคมนี้ตามเวลาประเทศไทย
  • ฟลอยด์ในวัยเด็กต้องพบปัญหาครอบครัว ตั้งแต่อาเอาปืนลูกซองยิงขาของพ่อเขา จนถึงพ่อค้ายา และแม่เสพยาอย่างหนัก
  • บนเวทีฟลอยด์ดูเหมือนจะเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรี และเหมือนจะดูถูกคู่ชกทุกครั้ง แต่ความจริงแล้วเขาเป็นนักมวยเจ้าระเบียบ ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ และ ทำงานอย่างหนักตลอด 21 ปีที่ผ่านมา เขารักษาสถิติเป็นนักชกไร้พ่ายด้วยการวางแผนคู่ชก และการฝึกซ้อมที่เขาเองยืนยันว่าไม่มีใครซ้อมหนักเท่าเขา

     “เราไม่ได้จะพูดถึงการเป็นสุดยอดแค่ 1 ปี 2 ปี 3 ปี หรือ 4 ปี แต่เรากำลังพูดถึง 21 ปี เขาบอกว่าผมอ่านหนังสือไม่ออก แต่ผมเก่งตัวเลข ผมทำเงินได้”

     เป็นหนึ่งในไฮไลต์การปะทะกันบนเวทีของ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ยอดนักชกไร้พ่าย และแชมป์โลก 5 รุ่น ที่กำลังจะขึ้นชกมวยสากลกับ คอเนอร์ แม็กเกรเกอร์ ยอดนักชก MMA ชาวไอริช ที่นอกจากฝีมือการต่อสู้แบบผสมแล้ว ยังมีความสามารถในการโปรโมตตัวเองด้วยฝีปากที่เก่งพอๆ กัน

     แต่เวลา 21 ปีของฟลอยด์กว่าจะพาเขามาถึงจุดที่สามารถทำเงินมหาศาลจากการขึ้นชกไฟต์พิเศษในวัย 41 ปีนั้นไม่ใช่เพียงเพราะพรสวรรค์ที่เขามี แต่เป็นการบริหารจัดการชีวิตนักสู้ของเขาอย่างยอดเยี่ยม และการทำในสิ่งที่พูดได้เกือบทุกครั้ง

โทนี่ ซินแคลร์ เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับปืนลูกซอง และเอามาจ่อที่หน้าของฟลอยด์ผู้พ่อ ขณะที่ฟลอยด์ จูเนียร์ซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียง 23 เดือนกอดขาพ่อไว้เนื่องจากตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

Photo: MARK RALSTON/AFP

 

เติบโตมากับลูกปืน ยาเสพติด และครอบครัวนักสู้

     ที่ Grand Rapids รัฐมิชิแกน ประเทศสหรัฐฯ มีเด็กน้อยคนหนึ่งที่มักจะถูกอุ้มขึ้นมาโดยผู้คนในค่ายมวยสากล แต่ทุกคนไม่ได้อุ้มเขาขึ้นเพราะความเอ็นดู แต่กลับอุ้มขึ้นมาวางบนกล่องกระดาษ เพื่อให้เด็กคนนั้นสูงพอที่จะชกสปีดแบ็ก หรือชกเป้าให้ถึง

     มวยคือสิ่งที่เด็กคนนี้ชื่นชอบตั้งแต่ยังเด็ก เนื่องจากทั้งพ่อและอาของเขา เป็นยอดนักชกที่เคยเป็นแชมป์โลกด้วยกันทั้งคู่

     “ผมจำไม่ได้ว่าพ่อผมเคยพาผมไปทำอย่างอื่นนอกจากซ้อมมวย เช่น พาไปเดินเล่นในสวนหรือดูหนัง หรือแม้กระทั่งพาไปกินไอศกรีม ผมคิดมาตลอดว่าพ่อผมรักน้องสาว (ลูกพี่ลูกน้อง) ของผมมากกว่า เพราะเธอไม่เคยโดนทำโทษเหมือนที่ผมโดน” ฟลอยด์ได้เล่าถึงชีวิตในวัยเด็กของเขากับการเติบโตมาในครอบครัวนักมวย

     ชีวิตในวัยเด็กของฟลอยด์เริ่มต้นด้วยความรุนแรง ในปี 1978 หลังจากที่ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ ซีเนียร์ พ่อของฟลอยด์ ซึ่งขณะนั้นกำลังก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดด้วยการเตรียมขึ้นชกกับ ชูการ์ เรย์ เลียวนาร์ด (Sugar Ray Leonard) ยอดนักมวยแห่งยุค ได้เกิดการทะเลาะวิวาทกับ โทนี่ ซินแคลร์ อาของฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์

     โทนี่ ซินแคลร์ เดินเข้ามาในบ้านพร้อมกับปืนลูกซอง และเอามาจ่อที่หน้าของฟลอยด์ผู้พ่อ ขณะที่ฟลอยด์ จูเนียร์ซึ่งขณะนั้นมีอายุเพียง 23 เดือนกอดขาพ่อไว้เนื่องจากตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

     ฟลอยด์ผู้พ่อจึงได้ร้องขอชีวิตโดยกล่าวกับผู้ถือปืนว่า  

     “ถ้าคุณจะฆ่าผม คุณก็จะฆ่าเด็กคนนี้ด้วย”

     ภายหลัง ฟลอยด์ ซีเนียร์ ได้เล่าถึงเหตุการณ์ครั้งนั้นว่า

     “ผมไม่มีทางวางเด็กคนนั้นลง เพราะผมไม่อยากตาย มันไม่ใช่ว่าผมเอาลูกผมมาเป็นเกราะกันกระสุน แต่ผมรู้ว่าซินแคลร์จะไม่มีทางยิงเด็ก ไม่นานหลังจากนั้น ซินแคลร์ก็ยอมลดปืนลงจากหน้าของผมไปที่ขา และ ปัง!!!!”

     กระสุนปืนนั้นทำลายกล้ามเนื้อน่องในขาซ้ายของฟลอยด์ ซีเนียร์ เกือบทั้งหมด และนั่นก็คือจุดจบของอาชีพมวยสากลของฟลอยด์ ซีเนียร์ เขาชกต่อได้ถึงปี 1985 ก่อนที่จะยุติอาชีพนักมวย และปัญหาทางการเงินของเขาก็เริ่มขึ้นในปีนั้น

     เมื่อฟลอยด์ จูเนียร์ เริ่มเข้าโรงเรียนระดับประถมศึกษา ความสามารถในการชกมวยของเขาก็เริ่มเด่นชัดขึ้น โดยกิจกรรมหลักของพ่อลูกคู่นี้คือการชกมวย แต่ท่ามกลางเส้นทางสู่การเป็นนักมวยของฟลอยด์นั้นไม่ง่าย เนื่องจากปัญหายาเสพติดภายในครอบครัว โดยแม่ของฟลอยด์เสพยาอย่างหนัก และพ่อของเขาเป็นคนขายยาให้กับแม่

     ปี 1993 ระหว่างที่อาชีพนักมวยของฟลอยด์กำลงจะเริ่มต้นขึ้น พ่อของเขาก็ต้องโทษจำคุกด้วยข้อหาค้ายาเสพติด และแม่ของเขาก็โดนข้อหาเสพยาเช่นกัน

 

ไฟต์ที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขาในปี 2007 กับ ออสก้า เดอลาโฮย่า

Photo: GABRIEL BOUYS/AFP

 

จากการต่อสู้ในบ้านสู่เวทีมวย

     จากความวุ่นวายในบ้าน ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ เริ่มเจอหนทางสู่ความสงบในเวทีมวยสากล

     ฟลอยด์ จูเนียร์ หรือฉายา Pretty Boy เริ่มต้นชกมวยด้วยสไตล์ที่รวดเร็ว และแม่นยำ ส่งผลให้เขาคว้าแชมป์ Golden Gloves ถึงสามสมัยในปี 1993 1994 และ 1996  

     หลังจากที่เขาทำสถิติชก 90 ครั้งชนะ 84 แพ้ 6 เส้นทางของนักมวยสากลสมัครเล่นของเขาก็จบลงหลังจากความพ่ายแพ้ในการแข่งขันโอลิมปิกที่แอตแลนต้าในปี 1996 และคว้ามาได้เพียงเหรียญทองแดง เป็นสัญลักษณ์ของความพ่ายแพ้ครั้งสุดท้ายของเขา

     ฟลอยด์ เริ่มต้นชกมวยอาชีพเมื่อวันที่ 11 ตุลาคมปี 1996 เขาสร้างความสำเร็จโดยมีพ่อ ฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ ซีเนียร์ และ โรเจอร์ เมย์เวทเธอร์ อาของเขาคอยเป็นผู้ฝึกสอนและผู้จัดการ ในปี 1998 เขาก็คว้าแชมป์สภามวยโลกหรือ WBC ได้สำเร็จในรุ่น Super welterweight

     หลังจากปี 2000 ความสำเร็จบนเวทีของเขาก้าวกระโดดอย่างต่อเนื่อง ด้วยการคว้าแชมป์สภามวยโลก WBC รุ่น Lightweight ในปี 2002 แชมป์สภามวยโลกรุ่น Super lightweight ในปี 2005 แชมป์โลก IBF IBO WBC และ IBA ในรุ่น Welterweight ในปี 2006 จนมาถึงปี 2007 เขาสามารถเอาชนะ ออสก้า เดอลาโฮย่า ยอดนักชกแห่งยุค และคว้าแชมป์สภามวยโลกรุ่นซูเปอร์เวลเทอร์เวตไปครอง

     นอกจากนี้นักมวยที่มีชื่อเสียงระดับโลกหลายคน อาทิ ริกกี้ ฮัตตัน, แซบ จูดาห์, ฮวน มานูเอล มาร์เกวซ, อาร์ตูโร กัตติ, ดีเอโก คอร์ราเลส, มิเกล คอตโต้, ซาอูล อัลวาเรซ, มาร์กอส ไมดานา, แมนนี่ ปาเกียว ฟลอยด์ก็สามารถเอาชนะได้ทุกคน ไม่ว่าจะเป็นการชนะคะแนนหรือชนะน็อก

 

Photo: JOHN GURZINSKI/AFP

 

     ความสำเร็จของเขาต่อยอดไปสู่เม็ดเงินในธนาคาร โดยปี 2010 เขาเป็นนักกีฬาอาชีพที่มีรายได้มากที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ด้วยรายได้กว่า 60 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี และในปี 2015 ในไฟต์หยุดโลกที่เขาเอาชนะ แมนนี่ ปาเกียว เขาก็สร้างรายได้จากไฟต์นั้นไปถึง 240 ล้านเหรียญสหรัฐ

บนเวที ฟลอยด์ดูเหมือนจะเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรี และเหมือนจะดูถูกคู่ชกทุกครั้ง แต่ความจริงแล้วเขาเป็นนักมวยเจ้าระเบียบ ซึ่งไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ และทำงานอย่างหนักตลอด 21 ปีที่ผ่านมา

Photo: HECTOR MATA/AFP

 

“เป้าหมายของผมคือการเป็นนักสู้ที่ดีที่สุดตลอดกาล”

     เป็นคำพูดเดียวกับที่ แคสเซียส เคลย์ (มูฮัมหมัด อาลี) อดีตแชมป์โลกรุ่นเฮฟวีเวตผู้ยิ่งใหญ่เคยได้กล่าวไว้ในหนังสือ The Soul of a butterfly หนังสืออัตชีวประวัติของเขาเองเล่าถึงความมุ่งมั่นในวัยเด็กของเขา

     ไม่ต่างกับฟลอยด์ เมย์เวทเธอร์ จูเนียร์ ซึ่งนอกจากจะสร้างสถิติชก 49 ครั้งชนะ 49 ครั้งบนเวทีมวยสากลมาตลอด 21 ปี แต่ฟลอยด์เป็นคนที่เชื่อมั่นในความสามารถของเขา แต่สิ่งหนึ่งที่แตกต่างจากนักกีฬาทั่วไปคือความทุ่มเทของเขา

     บนเวที ฟลอยด์ดูเหมือนจะเป็นคนที่หยิ่งในศักดิ์ศรี และเหมือนจะดูถูกคู่ชกทุกครั้ง แต่ความจริงแล้วเขาเป็นนักมวยเจ้าระเบียบ ซึ่งไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ และทำงานอย่างหนักตลอด 21 ปีที่ผ่านมา

     ฟลอยด์จะพูดกับแฟนคลับของเขาเสมอว่า Hard Work Dedication หรือ ทำงานหนัก และมีความทุ่มเท ซึ่งจากคำบอกเล่าของโค้ชในค่ายของฟลอยด์ ฟลอยด์ซ้อมชกในยิมวันละ 4 ชั่วโมง ต่อด้วยขึ้นชกล่อเป้าและลงนวมอีก 10 ยก ต่อด้วยการเข้ายิมฟิตเนสอีก 4 ชั่วโมง โดยโฟกัสการเสริมสร้างกล้ามเนื้อและเพิ่มความฟิต ต่อด้วยการชกกระสอบทรายอีก 2,000 ครั้ง และปิดท้ายด้วยการวิ่งอีก 10 ไมล์ เพื่อเตรียมพร้อมขึ้นชก

     “ไม่มีใครทำงานหนักกว่าผมอีกแล้ว” คือสิ่งที่ฟลอยด์มักจะพูดทุกครั้งในระหว่างการฝึกซ้อมก่อนขึ้นชก ทั้งที่จริงๆ แล้วฟลอยด์เป็นนักมวยที่มีพรสวรรค์มากที่สุดคนหนึ่ง แต่ความสำเร็จไม่เคยทำให้ความมุ่งมั่นของฟลอยด์ลดลงแม้แต่น้อย

 

การบริหารไฟต์การขึ้นชก และสไตล์การชก

     หลายคนอาจจะสงสัยว่าฟลอยด์ทำไมต้องขึ้นชกกับ คอเนอร์ แม็กเกรเกอร์ ทั้งประวัติศาสตร์ของเขาและศักดิ์ศรีของมวยสากลอาชีพมีโอกาสถูกทำลายหากเขาโดนคอเนอร์น็อก  

     จุดนี้คุณสร้อย มั่งมี แฟนพันธ์ุแท้มวยโลกปี 2002 และผู้สื่อข่าวกีฬาที่ติดตามความเคลื่อนไหวของแวดวงกีฬามวย ได้ให้สัมภาษณ์กับ THE STANDARD เผยว่าฟลอยด์เป็นนักมวยที่มีความสามารถและยังเป็นจอมวางแผนตัวยงอีกด้วย

     “ฟลอยด์เป็นนักมวยที่ฉลาด และมีสไตล์การชกแบบบ๊อกเซอร์ จริงๆ แล้วเป็นมวยฝีมือที่หมัดหนักและคม เป็นนักมวยที่ครบเครื่องทั้งสองสไตล์ในตัวเอง เขาเป็นมวยที่ฉลาด ถ้าไม่มั่นใจว่าชัวร์จริงเขาก็จะรอจังหวะ รอจับทางคู่ต่อสู้ก่อนจะเผด็จศึก เป็นนักมวยที่ไม่เจ็บตัว

     “ฟลอยด์เป็นคนที่ฉลาดในการวางแผนการชก ทุกครั้งที่เขาขึ้นชก เขาทำการบ้านมาอย่างดี เขาเป็นมวยที่มีระเบียบวินัย เวลามีโปรแกรมชกเขาเต็มร้อยตลอด ถึงแม้ว่าจะดูขัดกับภาพลักษณ์ที่เขาแสดงให้เห็น

     “นักมวยส่วนใหญ่ทำหน้าที่เพียงซ้อมกับขึ้นชก แต่ฟลอยด์เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่าง ที่สำคัญเขาทำการในเชิงธุรกิจ เขาชกมวยไปด้วย เขามีบริษัทโปรโมเตอร์ของตัวเองไปด้วย มีการวางแผนการชกทุกครั้ง โดยเฉพาะตัวของเขาเองเป็นตัวกำหนด เขากำหนดคู่ชกเอง โดยทุกคนที่ฟลอยด์เลือกขึ้นชกบนเวที หมายความว่าฟลอยด์ได้คำนวณอย่างละเอียดแล้วว่าโอกาสชนะต้องมากกว่า อัตราการเสี่ยงแบบ 50-50 เขาก็ไม่ทำ โดยตัวเลือกที่หนักที่สุดที่ฟลอยด์เคยเจอคือ แมนนี่ ปาเกียว ซึ่งใช้เวลาตัดสินใจนานมากกว่าจะขึ้นชกได้ ฟลอยด์ต้องมั่นใจแล้วว่าโอกาสชนะต้องมากกว่าร้อยละ 50 และต้องมีเงื่อนไขที่เหนือกว่าคู่ชกเสมอ คล้ายกับ คอเนอร์ แม็กเกรเกอร์ ที่สุดท้ายแล้วต้องขึ้นชกภายใต้กฎกติกาที่ฟลอยด์ถนัด นั่นคือมวยสากลนั้นเอง”

ฟลอยด์เป็นนักมวยที่ขึ้นชื่อไม่ใช่เพียงเพราะฝีมือ แต่ฝีปากของเขาก็เป็นส่วนสำคัญให้มีผู้คนยอมจ่ายเงินเพื่อดูเขาขึ้นชก และส่วนใหญ่มักจะจ่ายเงินเข้าชมเพื่อลุ้นให้เขาแพ้

Photo: DON EMMERT/AFP

 

จุดเริ่มต้นของการตลาด

     ฟลอยด์เป็นนักมวยที่ขึ้นชื่อไม่ใช่เพียงเพราะฝีมือ แต่ฝีปากของเขาก็เป็นส่วนสำคัญให้มีผู้คนยอมจ่ายเงินเพื่อดูเขาขึ้นชก และส่วนใหญ่มักจะจ่ายเงินเข้าชมเพื่อลุ้นให้เขาแพ้

     จุดเริ่มต้นของสไตล์การพูดจาโอ้อวดของเขาเริ่มต้นขึ้นหลังจากที่เขาขึ้นชกอาชีพได้เพียง 2 ปี โดยมีนักข่าวได้ให้คำแนะนำว่า ฟลอยด์ควรจะแสดงตัวตนของเขาออกมากกว่านี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาถนัด และกลายเป็นสิ่งที่แฟนกีฬาชื่นชอบตั้งแต่นั้นมา

     “นั่นเป็นสิ่งที่ช่วยให้ตั๋วเข้าชมขายได้ และผมมาที่นี่เพื่อขายตั๋ว ผมคือนักแสดง และนั่นคือสิ่งที่ผมทำ ผมขายตัวเองได้” และตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาฟลอยด์ก็สร้างชื่อเสียงทั้งบนเวที และงานแถลงข่าวก่อนขึ้นชกที่ฟลอยด์มักแสดงท่าที โอ้อวด และพูดจาโอหังดูถูกคู่แข่งตลอดมา จนมาเจอคู่ปรับอย่าง คอเนอร์ แม็กเกรเกอร์ ที่ปากดีไม่แพ้กันในที่สุด

     ด้วยสไตล์การชกและฝีปากของเขาทำให้มีผู้ติดตามไฟต์ของฟลอยด์อย่างต่อเนื่อง โดยในไฟต์ประวัติศาสตร์ระหว่างฟลอยด์ และ ปาเกียว เขาทำเงินในคืนเดียวถึง 240 ล้านเหรียญสหรัฐ

 

ชีวิตนอกสังเวียนที่ไม่งดงามเหมือนเครื่องประดับราคาแพง

     ฟลอยด์เคยให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ Showtime boxing ก่อนขึ้นชกกับ มาร์กอส ไมดานา (Marcos Maidana) นักชกชาวอาร์เจนตินาว่าเขาอาจจะไม่แต่งงานอีกแล้ว คำตอบนี้สะท้อนถึงความล้มเหลวในชีวิตคู่ของเขาเป็นอย่างดี

     โดยในปี 2011 ฟลอยด์ถูกตัดสินจำคุก 90 วัน หลังจากที่เขายอมรับข้อกล่าวหา การล่วงละเมิดในครอบครัว ในการทำร้าย โจซี แฮร์ริส อดีตภรรยาและติดคุกเป็นเวลา 2 เดือนในปี  2012 ก่อนจะถูกปล่อยตัว

     ซึ่งสื่อหลายสำนักตั้งข้อสันนิษฐานว่าปัญหาในครอบครัวของฟลอยด์ ไม่ได้จบลงที่พ่อและแม่ของเขา แต่กลับฝังมาอยู่ในตัวของเขาจนทำให้เกิดปัญหาในครอบครัวอย่างต่อเนื่อง แต่อย่างไรก็ตาม ฟลอยด์ก็รักลูกทั้ง 4 คนของเขา และมักจะพาลูกๆ เดินทางไปสถานที่ต่างๆ ที่เขาขึ้นชก

 

Photo: Gene Blevins/AFP

 

นักสู้ผู้ไม่เคยหยุดพิสูจน์ตัวเอง กับเดิมพันสุดท้ายของชีวิต

     ถ้าดูจากชีวิตของฟลอยด์จะเห็นได้ว่าเขาผ่านอะไรมามากมายเหลือเกิน

     ลืมตาขึ้นมาได้เพียง 23 เดือนเขาก็ได้พบกับความรุนแรงในครอบครัวจนถึงขั้นถูกปืนลูกซองจ่อหน้า ทั้งที่เขาเองอาจจะยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ด้วยการถูกเลี้ยงโดยนักมวย (ซึ่งปรัชญาของนักสู้ที่ดีคือการไม่ยอมแพ้) ฟลอยด์ ไม่ค่อยได้นำอดีตมาเป็นตัวชี้วัดว่าเขาจะล้มเหลวเพราะต้นทุนที่มีน้อยกว่าคนอื่น แต่เขากลับเลือกใช้มันเป็นแรงผลักดันทุกครั้งที่ก้าวขึ้นบนสังเวียน

     เหตุการณ์หนึ่งที่บ่งบอกความเป็นนักสู้ของเขาได้ดีคือ เมื่อเขามีอายุเพียง 10 ปี ฟลอยด์เดินทางไปแข่งขันมวยสมัครเล่นรายการแรกของเขา แต่เมื่อไปถึงกลับไม่มีนักมวยคนไหนมีประสบการณ์พอที่จะขึ้นชกในรุ่นเดียวกับเขา ฟลอยด์ จูเนียร์ ได้วิ่งไปทั่วยิมเพื่อหาคู่ชก ก่อนที่เขาจะซบลงที่ไหล่ของเพื่อนพ่อเขา และ ร้องไห้อย่างหนักเพราะต้องการขึ้นชกมาก

     “ฟลอยด์ดูเครียดมาก ความผิดหวังดูเป็นสิ่งที่ฟลอยด์ดูจะรับไม่ได้ เขาต้องการจะแสดงให้ทุกคนเห็นว่าเขาเก่งขนาดไหน เขานั่งร้องไห้อยู่เป็นเวลานาน ก่อนจะเดินมาบอกว่า “อย่าบอกใครนะว่าผมร้องไห้” เพื่อนของฟลอยด์ ซีเนียร์ ได้เล่าถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้น

    และเชื่อว่าแม้เวลาจะผ่านไปกว่า 30 ปี ฟลอยด์ยังคงต้องการพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นเหมือนกับครั้งแรกที่เขาได้ขึ้นชก ว่าเขาเก่งกว่าคนอื่นขนาดไหน โดยสถิติสูงสุดวันนี้คือ ร็อกกี้ มาร์เซียโน (Rocky Marciano) ตำนานนักชกชาวอิตาเลียนได้ทำไว้ที่ ชก 49 ครั้งชนะ 49 ครั้งเท่ากัน

     มีเพียง คอเนอร์ แม็กเกรเกอร์ ยอดนักสู้ชาวไอริชซึ่งมีเบื้องหลังที่โหดร้ายไม่แพ้กันเท่านั้น ที่จะเป็นบทพิสูจน์อย่างสุดท้ายในฐานะนักมวยสากลอาชีพของฟลอยด์

     และอาจเป็นการเดิมพันครั้งสำคัญที่สุดของชีวิต

 

Cover Photo: Carl De Souza/AFP

อ้างอิง: 

FYI
  • ฟลอยด์มีมูลค่าทั้งหมด 340 ล้านเหรียญสหรัฐ จากการรายงานของ Business Insider
  • ฟลอยด์ใช้ชีวิตหรูหราทำสิ่งต่างๆ ที่เหลือเชื่อ เขาพกเงินสดจำนวนมหาศาลติดตัวในกระเป๋าเป้ตลอดเวลา
  • เขาใส่รองเท้าเพียง 1 ครั้งก่อนจะทิ้งไว้ในห้องนอนให้กับพนักงานโรงแรม
  • เขามีรถราคาแพงสีขาวหลายคันในไมอามี สหรัฐฯ และมีรถสีดำราคาแพงอีกหลายคันในลาสเวกัส รวมทั้งหมดเขามีรถหรู 100 กว่าคัน และเขาใช้เงินสดซื้อทุกคัน
  • และในไฟต์ประวัติศาสตร์กับ คอเนอร์ แม็กเกรเกอร์ เขาอาจจะสร้างรายได้ถึง 400 ล้านเหรียญสหรัฐ
  • แต่เขาติดหนี้ภาษีในปี 2015 อยู่ถึง 24 ล้านเหรียญสหรัฐ
  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X