×

ทำไมคนทั่วโลกถึงตกหลุมรัก David Beckham?

03.07.2017
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

10 Mins. Read
  • เดวิด เบ็กแฮม อดีตนักฟุตบอลจากสหราชอาณาจักรเป็นที่ชื่นชอบของผู้คนและกองเชียร์ทั่วโลกจากเครื่องหน้าที่สมบูรณ์แบบ การวางตัวที่ดีทั้งในและนอกสนาม ฝีเท้าฉกาจ และความมุมานะในการฝึกซ้อมอย่างหนัก กว่าจะมาเป็นปรมาจารย์ด้านฟรีคิกและลูกนิ่งได้ เขาต้องผ่านการฝึกยิงลูกตั้งเตะไม่ต่ำกว่าปีละแสนครั้ง!
  • ก้มหน้าก้มตาพิสูจน์ตัวเองนานนับ 3 ปี หลังถูกแฟนบอลทีมชาติอังกฤษปรามาสว่าเป็น ‘ตัวซวย’ ทำให้ทีมตกรอบฟุตบอลโลกในปี 1998 ก่อนที่ในปี 2001 เขาจะเป็นฮีโร่ยิงฟรีคิกพาทรี ไลออนส์ เสมอทีมชาติกรีซด้วยสกอร์ 2-2 มุ่งทะยานเข้าสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในปี 2002 ได้เป็นผลสำเร็จ
  • เบ็กแฮมเป็นที่รักของแฟนบอลและเพื่อนร่วมทีมจำนวนมาก เป็นผลมาจากการวางตัวดีมาอย่างสม่ำเสมอ โดยในทุกๆ วันเกิดของอดีตเพื่อนร่วมสโมสร เจ้าตัวจะอวยพรเพื่อนทุกคนด้วยความใส่ใจและความเป็นห่วงเป็นใยผ่านอินสตาแกรม

     สร้างความฮือฮาในหมู่แฟนบอล แฟนคลับ และคนไทยจำนวนไม่น้อย สำหรับการกลับมาเยือนแดนสยามในครั้งนี้ เพื่อถ่ายทำโฆษณาของ เดวิด เบ็กแฮม (David Beckham) ตำนานนักฟุตบอลชื่อดังจากสหราชอาณาจักร

     เพราะนอกจากจะไม่มีข่าวคราวระแคะระคายมาก่อนแล้ว เจ้าตัวยังอาศัยช่วงที่สื่อส่วนใหญ่กำลังง่วนอยู่กับกิจกรรมฟุตบอลนัดพิเศษของแก๊งเพื่อน ‘Class of 92’ ซึ่งมาจัดขึ้นที่ประเทศไทยเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน ประกาศลงโซเชียลว่าได้เดินทางมาถึงประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย! และจัดเฟซบุ๊กไลฟ์ที่หน้าเพจส่วนตัว ในวันถัดมาร่วมกับวู้ดดี้-วุฒิธร มิลินทจินดา คลิกอ่านได้ที่ www.facebook.com/thestandardth/posts/1739674952992056:0

 

 

     แม้จะแขวนสตั๊ดอำลาวงการลูกหนังมานานกว่า 4 ปี กับสโมสรปารีส แซงต์ แชร์กแมง (2013, Paris Saint-Germain F.C.) แต่เหตุใดความรักความชื่นชอบของคนไทยและผู้คนทั่วโลกที่มีต่อผู้ชายคนนี้ถึงไม่เคยลดน้อยลงเลย?

     THE STANDARD ได้สรุปสาเหตุที่ทำให้คนทั่วโลกต่างตกหลุมรักเขาออกมาเป็นข้อๆ และเชื่อว่าอย่างน้อยที่สุด คุณเองก็น่าจะตกหลุมรักเบ็กแฮมด้วยหนึ่งในเหตุผลเหล่านี้เช่นกัน

ผมผ่านการฝึกยิงฟรีคิกมาเป็นหมื่นๆ ครั้ง ไม่สิ บางทีอาจจะเป็นแสนๆ ครั้งด้วยซ้ำ

Photo: GABRIEL BOUYS/AFP

 

อดีตนักฟุตบอลผู้ผ่านการพิสูจน์ตัวเองและทุ่มเทอย่างหนักมาโดยตลอด

     แม้เจ้าตัวจะไม่ได้มีความเร็วเหมือนเพื่อนร่วมทีมที่เป็นปีกอีกข้างของสนาม ไรอัน กิกส์ (Ryan Giggs) ลีลาการเคลื่อนไหวที่สง่างามอย่าง ซีเนอร์ดีน ซีดาน (Zinedine Zidane) หรือสัญชาตญานในการจบสกอร์ที่เฉียบคม เช่น โรนัลโด้ (Ronaldo) แต่เบ็กแฮมก็มีทักษะการเปิดบอล-เล่นลูกตั้งเตะที่แม่นราวกับจับวาง และได้รับการยอมรับว่าเป็นเบอร์ต้นๆ ของวงการมาโดยตลอด

     เบื้องหลังความสามารถพิเศษนี้ของเขาไม่ได้มาเพราะโชคช่วยหรือฟ้าบันดาล แต่ตลอดชีวิตการค้าแข้งของอดีตปีกขวาจากเกาะสหราชอาณาจักรต้องผ่านการตรากตรำฝึกฝน มุมานะอย่างหนัก เพื่อพิสูจน์ตัวเองอยู่ทุกวี่ทุกวัน

     ครั้งหนึ่งเบ็กแฮมเคยให้สัมภาษณ์กับ Daily Mail ไว้ว่า ในสมัยเด็กๆ เขามักจะฝึกซ้อมฟุตบอลกับคุณพ่อตั้งแต่ช่วงเย็นจนถึงกลางดึก โดยอาศัยแสงไฟที่ส่องมาจากอาคารบ้านเรือนบริเวณดังกล่าว และยังต้องซ้อมยิงลูกตั้งเตะอยู่เป็นประจำ

     “ผมผ่านการฝึกยิงฟรีคิกมาเป็นหมื่นๆ ครั้ง ไม่สิ บางทีอาจจะเป็นแสนๆ ครั้งด้วยซ้ำ ผมมักจะไปที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน วางบอลลงกับพื้น และเล็งเป้าหมายไปที่ลวดตาข่ายที่ขึงพืดอยู่เหนือหน้าต่างของบ้านละแวกดังกล่าว

     “เวลาอยู่ในบ้านผมไม่ได้รับอนุญาตให้เล่นฟุตบอล เลยต้องแอบไปฝึกยิงฟรีคิกในห้องนอนของพี่สาว โดยมีเจ้าหมี Care Bears เป็นเป้านิ่ง แม่ของผมมักจะมองว่ามันเป็นเรื่องตลก แต่มันก็แสดงให้เห็นว่าผมรักฟุตบอลขนาดไหน”

 

Photo: ODD ANDERSEN/AFP

 

     ในสมัยที่ยังเป็นนักฟุตบอล หลังฝึกซ้อมกับเพื่อนร่วมทีมเสร็จในทุกๆ วัน เขามักจะเอาเวลาที่เหลือไปฝึกซ้อมยิงลูกตั้งเตะอย่างน้อยที่สุดก็วันละ 500 ครั้ง จนทำให้ปีๆ หนึ่ง เขาได้ซ้อมลูกตั้งเตะมากกว่า 180,000 ครั้ง

      เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน (Sir Alex Ferguson) อดีตกุนซือผู้ปลุกปั้นและหยิบยื่นโอกาสบนเส้นทางฟุตบอลอาชีพให้เขาก็กล่าวไว้ว่า “เดวิดเป็นหนึ่งในผู้เล่นตัวรุกที่ดีที่สุดจากสหราชอาณาจักรในวงการฟุตบอล ไม่ใช่เพราะพรสวรรค์ที่พระเจ้าให้มาหรอกนะ แต่เป็นเพราะว่าเขาฝึกซ้อมอย่างหนักมากๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เล่นที่ขาดพรสวรรค์ไม่คิดจะทำกัน

     ครั้งหนึ่งในปี 1998 เบ็กแฮมต้องผจญกับมรสุมครั้งใหญ่ในชีวิตจากการถูกไล่ออกหลังทำฟาวล์ใส่ ดีเอโก ซิเมโอเน (Diego Simeone) ในแมตช์การแข่งขันฟุตบอลโลกรอบ 16 ทีมสุดท้าย ระหว่างทีมชาติอังกฤษและทีมชาติอาร์เจนตินา ผลจบลงด้วยการที่อังกฤษเพลี่ยงพล้ำในการดวลจุดโทษและตกรอบไปอย่างน่าเสียดาย แต่สิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นตามมาคือการที่เด็กหนุ่มอายุ 23 ปี ถูกสื่อและคนในประเทศส่วนใหญ่รุมประณามว่า ทำให้ประเทศต้องล้มเหลว จนลามไปถึงการถูกขู่ฆ่า!

 

 

     “นี่เป็นช่วงเวลาที่แย่ที่สุดในชีวิตการค้าแข้งของผมอย่างไม่ต้องสงสัย ผมรู้สึกเสียใจต่อทุกๆ การกระทำของผม ผมได้ขอโทษเพื่อนร่วมทีม ผู้จัดการและทีมงานของทีมชาติอังกฤษทุกคนไปแล้ว และผมก็อยากให้กองเชียร์ทุกคนทราบว่าผมเสียใจต่อสิ่งที่เกิดขึ้นมากเพียงใด” เบ็กแฮมออกมากล่าวคำขอโทษ

     ถึงแม้จะก้มหน้าสารภาพผิดแค่ไหน แต่กระแสความเกลียดชังก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดน้อยลง สองปีถัดมาในทัวร์นาเมนต์ยูโร 2000 ความอดทนที่เคยมีก็พังทลายลงหลังถูกแฟนบอลอังกฤษเยาะเย้ย ถากถางตลอดการแข่งขันจนเหลืออดและชูนิ้วกลางกลับไป เหตุการณ์ในครั้งนี้ทำให้สื่อเริ่มกลับมาหนุนหลังเขามากขึ้น เพราะในแมตช์การแข่งขันนัดดังกล่าวกับทีมชาติโปรตุเกส เจ้าตัวก็โชว์ฟอร์มได้ดีด้วยการทำแอสซิสต์ให้เพื่อนถึง 2 ลูก

     กระทั่งจุดเปลี่ยนสำคัญของเขาก็มาถึง ในแมตช์ชี้เป็นชี้ตายและโอกาสได้ไปฟุตบอลโลก 2002 ของทีมชาติอังกฤษมาพบกับทีมชาติกรีซเมื่อปี 2001 ช่วงท้ายเกมอังกฤษตามหลังกรีซอยู่ 1-2 พวกเขาต้องการแค่เพียงผลเสมอเพื่อการันตีการได้ไปเล่นในทัวร์นาเมนต์ระดับโลกที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ เหมือนสวรรค์ได้ประทาน ‘โอกาส’ เป็นของขวัญให้เบ็กแฮม และเจ้าตัวก็ไม่พลาดที่จะรับมันมา เมื่ออังกฤษได้ลูกฟรีคิกหน้าปากประตูในช่วงนาทีที่ 93 และเบ็กแฮมก็สังหารมันเข้าไปอย่างเลือดเย็น พาทีมชาติอังกฤษกรุยทางเข้าสู่ฟุตบอลโลกต่อหน้าแฟนบอลราว 66,000 คน ที่สนามโอลด์แทรฟฟอร์ด (Old Trafford) รังเหย้าของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้นสังกัดของเขาในเวลานั้น ปลดล็อกสถานะ ‘แพะรับบาป 3 ปี’ สู่ ‘ฮีโร่’ ในช่วงเวลาแค่วินาทีเดียวที่ลูกบอลพุ่งทะยานแหวกตัวกลางอากาศสู่ก้นตะข่าย

 

 

     ความจริงแล้วในตลอดเส้นทางการค้าแข้งของเบ็กแฮม เขายังต้องเผชิญกับปัญหาอีกนับครั้งไม่ถ้วน แต่เรายกเหตุการณ์ในครั้งนี้ขึ้นมาก็เพื่อแสดงให้เห็นถึงความมุมานะที่เจ้าตัวมี และการอดทนก้มหน้าพิสูจน์ตัวเองอย่างหนักจนสามารถเอาชนะใจคนที่เคยเกลียดเขาให้หันมาเชียร์และรักเขาในที่สุดนั่นเอง

ผมมีภรรยา มีลูก 4 คน มีพ่อแม่ มีปู่ย่าตายาย และมีเพื่อนสนิทนิสัยดีอีก 3 คน เท่านี้แหละชีวิตที่คุณต้องการ

Photo: FRED DUFOUR/AFP

 

วางตัวดี เคารพผู้ใหญ่ เป็นที่รักของเพื่อนๆ และแฟนบอล

     คงต้องบอกว่าเหตุการณ์ในปี 1998 มีส่วนไม่น้อยที่ช่วยให้เขาเติบโตเป็น ‘ผู้ใหญ่’ มากขึ้น ทั้งความสามารถในการรับมือกับความกดดัน คำวิจารณ์ และการวางตัวที่ดี

     สำหรับในวงการฟุตบอลนั้นเบ็กแฮมยังถือเป็น Mr.Nice Guy คนหนึ่งเลยก็ว่าได้ สังเกตได้จากการวางตัวที่ดีทั้งต่อเพื่อนร่วมทีม แฟนบอล และผู้ฝึกสอน โดยระหว่างที่อยู่ในสโมสรแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ต้นสังกัดแรกในเส้นทางสายนักฟุตบอลอาชีพ เขามี แกรี เนวิลล์ (Gary Neville) แบ็กขวาที่ต้องเล่นในฝั่งเดียวกันเป็นเพื่อนซี้ย่ำปึ้กและรูมเมตที่รู้ใจกันมาเนิ่นนาน

     เบ็กแฮมไว้ใจแกรีมาก ถึงขนาดที่ครั้งหนึ่งเคยกล่าวอย่างติดตลกไว้ว่า แบ็กขวาทีมชาติอังกฤษเป็นเพื่อนเพียงคนเดียวที่ไว้ใจให้อยู่กับภรรยาของเขา ‘วิกตอเรีย เบ็กแฮม (Victoria Beckham) แบบสองต่อสอง ความสนิทที่ว่านี้ยังทำให้แกรีได้เป็นเพื่อนเจ้าบ่าวของเขาในงานมงคลสมรสอีกด้วย และถึงแม้จะย้ายไปตั้งถิ่นฐานถึงสหรัฐอเมริกา แต่เบ็กแฮมก็ยังคงหมั่นติดต่อกับแกรีอยู่เสมอๆ หรือหากมีโอกาสสำคัญเขาก็จะพยายามบินตรงมาหาเพื่อนรักของเขาให้ได้ เช่น ในงานเทสติโมเนียลแมตช์ของแกรีเมื่อปี 2011 และพิธีศพของคุณพ่อแกรีในปี 2015

     ครั้งหนึ่งเขาเคยให้สัมภาษณ์ผ่านนิตยสาร Men’s Health ประเทศสหรัฐฯ ไว้ว่า “ผมมีภรรยา มีลูก 4 คน มีพ่อแม่ มีปู่ย่าตายาย และมีเพื่อนสนิทนิสัยดีอีก 3 คน เท่านี้แหละชีวิตที่คุณต้องการ ผมเลือกที่จะมีเพื่อนสนิทดีๆ สัก 3 คนมากกว่าเพื่อนดีๆ จำนวน 20 คน”

 

Photo: davidbeckham/instagram

 

     แม้จะบอกว่าการมีเพื่อนสนิทแค่ 3 คนเป็นเรื่องที่ดี แต่เขาก็ปฏิบัติและวางตัวกับเพื่อนคนอื่นๆ ที่เคยค้าแข้งร่วมกันได้เป็นอย่างดีมาโดยตลอด แน่นอนว่าเราไม่ได้พูดลอยๆ สังเกตได้จากการที่เขาเอาใจใส่อดีตเพื่อนร่วมทีมส่วนใหญ่เสมอ เช่น การไล่อวยพรวันเกิดเพื่อนนักฟุตบอลแทบจะทุกคนผ่านอินสตาแกรมให้พวกเขาพบเจอแต่เรื่องที่ดีและมีสุขภาพแข็งแรง และกล่าวชื่นชมนักฟุตบอลรุ่นใหม่ๆ ที่ประสบความสำเร็จ แม้เขาจะไม่เคยมีโอกาสร่วมค้าแข้งด้วยก็ตาม

     กับผู้ใหญ่ในวงการ เซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คือบุคคลที่เบ็กแฮมเคารพรักดั่งบิดาแท้ๆ คนหนึ่งเลยก็ว่าได้ เมื่อเร็วๆ นี้เขาให้สัมภาษณ์ในรายการ Desert Island Discs ช่องวิทยุ BBC ถึงวิธีที่กุนซือระดับตำนานจากสกอตแลนด์รายนี้ช่วยให้เขาผ่านมรสุมชีวิตในปี 1998 ไว้ว่า “คนแรกที่โทรมาหาผมหลังจากเหตุการณ์นั้นคือเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เขาบอกผมว่า ‘ไอ้ลูกชาย กลับมาที่แมนเชสเตอร์นะ แล้วนายจะดีขึ้นเอง’ คำพูดดังกล่าวช่วยเติมพลังให้ผมแข็งแกร่งพอจะผจญกับช่วงเวลาหนึ่งที่แสนลำบากในชีวิตการค้าแข้งของผม”

     ความเป็นห่วงเป็นใยที่เซอร์อเล็กซ์มีต่อเบ็กแฮมยังมีให้เห็นมาโดยตลอด ในช่วงที่เขาเริ่มคบหาดูใจกับวิกตอเรีย ขรัวเฒ่าจากแดนวิสกี้เคยออกมาเตือนปีกหนุ่มชาวอังกฤษในช่วงเวลานั้น เนื่องจากไม่อยากให้เสียสมาธิและกลัวฟอร์มในสนามจะดร็อปลง ก่อนจะเกิดเหตุการณ์ที่เซอร์อเล็กซ์บังเอิญเตะสตั๊ดไปโดนหัวคิ้วข้างซ้ายของเบ็กแฮมอย่างไม่ได้เจตนา และทำให้ความสัมพันธ์พ่อลูกของทั้งคู่ขาดสะบั้น ก่อนลงเอยด้วยการเลือกย้ายไปร่วมทีมเรอัล มาดริด ในที่สุด

 

Photo: ROBYN BECK/AFP

 

     เซอร์อเล็กซ์เปิดเผยในเวลาต่อมาว่า เหตุการณ์ทั้งหมดเป็นอุบัติเหตุที่เขาไม่ได้ตั้งใจจะทำร้ายศิษย์รักแต่อย่างใด ขณะที่เบ็กแฮมก็กล่าวเช่นกันว่าตนรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมากกับการกระทำของตัวเองในเหตุการณ์ครั้งดังกล่าว

     “ในตอนนั้นเราแพ้ให้อาร์เซนอล และเซอร์อเล็กซ์ก็คิดว่าประตูที่เสียส่วนหนึ่งเป็นความผิดของผม แน่นอนว่าผมบอกเขาว่ามันไม่ใช่ความผิดของผม ตอนที่ผมย้ายไปเรอัล มาดริด ผมช็อกมากๆ ผมเลิกติดตามแมนยูฯ ไป 3 ปี ความจริงแล้วผมไม่เคยคิดจะย้ายทีมด้วยซ้ำ แต่เหตุการณ์ในครั้งนั้นก็เป็นบทเรียนสอนผม ไม่มีใครไม่เคยผิดพลาด ถ้าคุณเคยตัดสินใจพลาดตอนที่อายุ 21 ปี คุณก็จะไม่พลาดมันอีกครั้งเมื่ออายุ 41 ปี” เบ็กแฮมกล่าวเปิดใจ

     หลังปรับความเข้าใจและคืนดีกันเป็นที่เรียบร้อย ปัจจุบันเซอร์อเล็กซ์และเบ็กแฮมยังคงติดต่อกันอยู่ตลอด ขณะที่ตัวเบ็กแฮมเองหลังย้ายไปร่วมทีมเรอัล มาดริด ในปี 2003 ก็มีโอกาสได้ย้ายไปร่วมทีมแอลเอ กาแล็กซี, เอซี มิลาน และปารีส แซงต์ แชร์กแมง ตามลำดับ ซึ่งเขาก็กลายเป็นขวัญใจของแฟนบอลทุกๆ สโมสรอยู่เสมอ แม้จะไม่ได้อยู่ในจุดสูงสุดของอาชีพการค้าแข้ง แต่การแสดงออกถึงแพสชันและความทุ่มเทแบบเต็ม 100 เปอร์เซ็นต์ คือสิ่งที่ใครเห็นก็อดชื่นชมไม่ได้

ในขณะที่นักฟุตบอลคนอื่นๆ กำลังยืนดื่มกับเพื่อนร่วมทีมที่บาร์ คุณจะได้เห็นเดวิดยืนขนาบข้างกับครอบครัวของเขา เขามีรอยยิ้มที่น่ารักมากๆ ตอนนั้นเขาเดินเข้ามาขอเบอร์ฉันโดยให้จดลงบนตั๋วเครื่องบินลอนดอน-แมนเชสเตอร์

Photo: JUSTIN TALLIS/AFP

 

หัวหน้าครอบครัวที่น่ารักและการอุทิศตนเพื่อสังคมเสมอมา

     เบ็กแฮมเละวิกตอเรียเริ่มคบหาดูใจกันตั้งแต่ปี 1997 ก่อนตัดสินใจแต่งงานใช้ชีวิตร่วมกันฉันสามีภรรยาในปี 1999 หากนับจนถึงปัจจุบันทั้งคู่ก็ปลูกต้นรักได้อย่างยืนยาวมานานกว่า 2 ทศวรรษเข้าแล้ว

 

 

     เล่ากันว่าเบื้องหลังพรหมลิขิตระหว่างอดีตนักฟุตบอลหนุ่มรูปหล่อและสมาชิกวง Spice Girls สุดแซ่บเริ่มต้นตั้งแต่ปี 1996 หลังเบ็กแฮมพบวิกตอเรียโดยบังเอิญจากมิวสิกวิดีโอเพลง Say You’ll Be There ในช่องโทรทัศน์ ก่อนจะบอกกับ แกรี เนวิลล์ ว่าสาวเจ้าคือคนที่เขาตามหามานานและต้องคว้าเธอมาครองให้ได้! ทั้งยังสารภาพในหนังสือชีวประวัติของตัวเองอีกด้วยว่าวิกตอเรียช่วยให้เขาหลุดพ้นจากโลกของการสะสม ‘สติกเกอร์ฟุตบอล’

     ขณะที่วิกตอเรียเปิดใจเช่นกันว่าเธอเองก็ตกหลุมรักเบ็กแฮมอย่างหมดหัวใจ หลัง Spice Girls ได้รับเชิญมาที่สโมสรแมนยูฯ ในปี 1997 ซึ่งในเวลานั้นเบ็กแฮมยังเป็นผู้เล่นในชุดเยาวชนเสียด้วยซ้ำ “คืนนั้นฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องฟุตบอลหลายเรื่อง เช่น กฎการล้ำหน้า และแน่นอน ‘รักแรกพบ’ ในขณะที่นักฟุตบอลคนอื่นๆ กำลังยืนดื่มกับเพื่อนร่วมทีมที่บาร์ คุณจะได้เห็นเดวิดยืนขนาบข้างกับครอบครัวของเขา เขามีรอยยิ้มที่น่ารักมากๆ ตอนนั้นเขาเดินเข้ามาขอเบอร์ฉันโดยให้จดลงบนตั๋วเครื่องบินลอนดอน-แมนเชสเตอร์

     กว่า 20 ปีของการรู้จักและการพบรักกัน ทั้งสองต่างก็เป็นคนที่หน้าตาดีและมีชื่อเสียงด้วยกันทั้งคู่ จึงเลี่ยงไม่ได้กับการปะทะกับข่าวเชิงชู้สาวที่มีให้เห็นอยู่เป็นประจำ แต่ด้วยความรักและความเข้าใจที่ทั้งคู่มีจึงทำให้ข่าวฉาวและสาวๆ ที่หวังในตัวหนุ่มเบ็กแฮมต่างกระเด็นกระดอนออกไปคนละทิศคนละทางแบบไร้ร่องรอย

 

Photo: JEWEL SAMAD/AFP

 

     ปัจจุบันทั้งสองมีพยานรักร่วมกันถึง 4 คน ได้แก่ ลูกชายคนโต บรูกลิน โจเซฟ เบ็กแฮม (Brooklyn Joseph Beckham), ลูกชายคนที่สอง โรมิโอ เจมส์ เบ็กแฮม (Romeo James Beckham), ลูกชายคนที่สาม ครูซ เดวิด เบ็กแฮม (Cruz David Beckham) และลูกสาวคนเล็กหัวแก้วหัวแหวน ฮาร์เปอร์ เซเวน เบ็กแฮม (Harper Seven Beckham) ซึ่งสมาชิกครอบครัวทุกคนมักจะสานสัมพันธ์ครอบครัวให้อบอุ่นอยู่เสมอด้วยการทำกิจกรรมร่วมกัน เช่น การไปเที่ยว ออกกำลังกาย ออกงานสังคม หรือดูกีฬาร่วมกัน

     โดยเฉพาะลูกสาวคนเล็กของบ้านที่เบ็กแฮมหวงมาก! ถึงขนาดที่เคยให้สัมภาษณ์อย่างติดตลกในช่วงที่ฮาร์เปอร์ลืมตาดูโลกกับ The Guardian ไว้ว่า “ถึงเวลาที่ผมควรจะต้องซื้อปืนพกแล้ว”

     นอกจากนี้ยังบอกอีกด้วยว่าเขาไว้ใจลูกชายของเขาทั้งสามว่าจะปกป้องน้องคนเล็กของบ้านได้เป็นอย่างดี หากในอนาคตมีหนุ่มๆ มารุมจีบเธอ “เธอมีพี่ชาย 3 คนที่จะคอยดูแลเธอ พี่ชาย 3 คนที่จะนั่งกินข้าวกับเธอ รับเธอกลับบ้าน รวมถึงพ่อของเธอที่นั่งรอเธอที่บ้านอีกด้วย ฉะนั้นเมื่อถึงเวลานั้น เราคงจะได้เห็นกัน มันคงจะน่าสนใจไม่น้อยเลยทีเดียว”

 

Photo: TED ALJIBE/AFP

 

     นอกจากจะดูแลครอบครัวได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องแล้ว เจ้าตัวยังใช้เวลาที่เหลืออุทิศตนเพื่อสังคมอีกด้วย โดยเริ่มต้นทำงานให้กับกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ หรือ Unicef มาตั้งแต่ปี 2005 และจริงจังมากขึ้นเมื่อก้าวเข้ามารับตำแหน่งทูตสันถวไมตรีด้านการกีฬาในปี 2012 โดยเมื่อปี 2015 ที่ผ่านมา ยังได้จัดตั้งแคมเปญ 7: The David Beckham UNICEF Fund เพื่อช่วยเหลือเด็กๆ จากการตกเป็นเหยื่อความรุนแรง และอาศัยเวลาว่างเดินทางไปสอนฟุตบอล มอบรอยยิ้มให้กับเด็กๆ ที่ขาดโอกาสในหลายๆ ประเทศ เช่น กัมพูชา เป็นต้น

 

 

 

พรีเซนเตอร์แบรนด์ชั้นนำและซูเปอร์สตาร์ชื่อก้องโลก

     นอกจากจะเป็นนักฟุตบอลที่มีความสามารถ ลงเล่นให้กับสโมสรชั้นนำของโลก วางตัวดีทั้งในและนอกสนาม ใบหน้าที่หล่อเหลาก็ช่วยเสริมบารมีให้เจ้าตัวได้รับเสียงกรี๊ดจากสาวๆ ทั่วโลก จนบางครั้งผู้ชายอย่างเราๆ ยังอดเคลิ้มไปด้วยไม่ได้

     ชื่อเสียงและหน้าตาของเบ็กแฮมขายได้ตั้งแต่สมัยที่เขายังเป็นนักฟุตบอลแล้ว ทั้งการเปลี่ยนทรงผมสุดเท่ที่ทำให้ผู้ชายค่อนโลกอยากตัดตาม การเลือกสวมสตั๊ด Adidas รุ่น Predator มาอย่างยาวนาน จนอดีตนักฟุตบอลสัญชาติอังกฤษรายนี้กลายเป็นโลโก้ของรองเท้าสตั๊ดรุ่นดังกล่าวอย่างเลี่ยงไม่ได้ โดยที่ Adidas เองก็มักจะผลิตรองเท้ารุ่นพิเศษมาให้เบ็กแฮมใส่อยู่ตลอดเวลา

      มีการเปิดเผยว่าเบ็กแฮมได้เซ็นสัญญาเป็นพรีเซนเตอร์ตลอดชีพกับ Adidas โดยมีมูลค่าสัญญาสูงถึงประมาณ 130 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 4.4 พันล้านบาท ขณะที่ The Guardian ยังประมาณการยอดขายเสื้อและรองเท้าที่เกี่ยวกับเบ็กแฮมตลอดระยะเวลา 21 ปีแห่งการค้าแข้งว่า มีมูลค่าสูงถึง 1.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 4.4 หมื่นล้านบาทเลยทีเดียว

     นอกจากนี้เขายังมีโอกาสได้เป็นพรีเซนเตอร์ของแบรนด์แฟชั่นชั้นนำอีกมากมาย ทั้งการเป็นแบบชุดชั้นในที่สร้างความฮือฮากับ Emporio Armani มาตั้งแต่ปี 2008-2010 และปัจจุบันกับการเป็นพรีเซนเตอร์ให้กับแบรนด์แฟชั่นจากสวีเดนอย่าง H&M (เริ่มเซ็นสัญญาตั้งแต่ปี 2012)

 

Photo: JEWEL SAMAD/AFP

 

     เมื่อปี 2015 ที่ผ่านมา Forbes เปิดเผยว่าเบ็กแฮมมีรายได้ในปีดังกล่าวมากถึง 75 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2.5 พันล้านบาท จากการเป็นพรีเซนเตอร์ของแบรนด์ชั้นนำ การทำธุรกิจ และการไปโชว์ตัวตามงานต่างๆ และในปี 2016 ที่ผ่านมา เว็บไซต์ Mirror อ้างว่าตลอดทั้งปีดังกล่าวคุณพ่อลูก 4 จะมีรายรับอยู่ที่ประมาณ 364 ล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท) หรือเฉลี่ยมีรายรับวันละประมาณ 92,291 เหรียญสหรัฐ (ประมาณ 3.1 ล้านบาท) แม้จะแขวนสตั๊ดเลิกเตะฟุตบอลไปแล้วก็ตาม

     นอกจากงานพรีเซนเตอร์ เบ็กแฮมยังได้โอกาสไปเป็นดารารับเชิญมีบทเล็กๆ น้อยๆ ในภาพยนตร์ของ กาย ริตชี (Guy Ritchie) ถึง 2 เรื่องได้แก่ The Man from U.N.C.L.E. (2015) และ King Arthur: Legend of the Sword (2017) ขณะที่สื่อบางเจ้ายังเชียร์ให้เขาได้เป็นสายลับบอนด์ 007 คนถัดไป ต่อจาก แดเนียล เคร็ก (Daniel Craig) อีกด้วย แต่เห็นทีเจ้าตัวอาจจะต้องไปฝึกปรือการแสดงให้เยอะกว่านี้เสียก่อนหลังได้รับคำวิจารณ์ในเชิงลบจากภาพยนตร์ King Arthur

 

Photo: JOHANNES EISELE/AFP

 

     อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าเบ็กแฮมคือหนึ่งในซูเปอร์สตาร์ที่เป็นขวัญใจของใครหลายคน ไม่ว่าจะยามที่เป็นนักฟุตบอลโชว์ลีลาวาดลวดลายปั่นโค้งๆ บนฟลอร์หญ้า, เมื่อสวมบทสามีและคุณพ่อดูแลลูกๆ และครอบครัว, ปรากฏตัวในสื่อโฆษณา และงานอีเวนต์ต่างๆ แม้กระทั่งการอุทิศตนเพื่อประโยชน์ของคนในสังคม

     ทุกๆ สิ่งล้วนแล้วแต่ฟูมฟักให้ชายจากเกาะสหราชอาณาจักรคนนี้กลายเป็นบุคคลที่ผู้คนทั่วโลกต่างก็ตกหลุมรักเขาอย่างถอนตัวไม่ขึ้น

     แล้วคุณล่ะ หลงรักเดวิด เบ็กแฮม เพราะอะไร?

 

Photo: AFP

อ้างอิง:

FYI
  • แม้หลังจากแขวนสตั๊ด เจ้าตัวจะเดินสายรับงานด้านแฟชั่น พรีเซนเตอร์ และงานบันเทิงอย่างเต็มที่ แต่ภาพลักษณ์ที่เบ็กเเฮมอยากให้ผู้คนจดจำเขามากที่สุดคือการเป็น ‘นักฟุตบอลที่ฝึกฝนอย่างหนักและตั้งใจทำงาน’
  • จากประตูที่ทำได้ทั้งหมด 146 ลูก ตลอดอาชีพการค้าแข้ง (นับรวมเกมกับทีมชาติอังกฤษ) มีจำนวนประตูทั้งหมดถึง 65 ประตู ที่เบ็กเเฮมทำได้จากลูกตั้งเตะหรือฟรีคิก  

 

  • ตลอดการลงเล่นในฟุตบอลอาชีพจำนวนรวม 834 นัด (นับรวมเกมกับทีมชาติอังกฤษ) เขาสามารถทำแอสซิสต์ส่งให้เพื่อนยิงประตูได้มากกว่า 147 ลูก
  • ยอดขายของสินค้าจากลีกฟุตบอลสหรัฐฯ (Major League Soccer) เพิ่มขึ้นมากกว่า 231% นับตั้งแต่ที่เบ็กเเฮมย้ายมาร่วมทีมแอลเอ กาแล็กซี (2007-2012)
  • ได้รับตำแหน่ง OBE หรือเครื่องราชอิสริยาภรณ์แห่งจักรวรรดิอังกฤษ
    ตำแหน่งของอัศวินในปี 2003
  • ในฤดูกาล 2012-2013 ที่ย้ายมาค้าแข้งกับสโมสรปารีส แซงต์ แชร์กแมง เขาเลือกไม่รับเงินค่าเหนื่อย เพื่อนำไปบริจาคให้กับองค์กรการกุศลของเด็กในประเทศฝรั่งเศส
  • ได้รับรางวัล BBC Sports Personality of the Year Lifetime Achievement หรือรางวัลบุคคลกีฬาที่สร้างปรากฏการณ์ให้กับวงการกีฬาในตลอดชั่วชีวิตเมื่อปี 2010
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X