ถึงแม้ว่าโลกฟุตบอลเวลานี้จะมีแต่เรื่องของยูโรเปียนซูเปอร์ลีกเต็มไปหมด แต่วานนี้ (19 เมษายน) สหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) ก็มีการประกาศแผนการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ของรายการฟุตบอลระดับชิงแชมป์สโมสรของทวีป
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเริ่มต้นขึ้นในฤดูกาล 2024-25 เป็นต้นไป หรือจะเกิดขึ้นในอีก 3 ฤดูกาลข้างหน้า ซึ่งการเปลี่ยนแปลงนั้นเกิดขึ้นจากการพยายามหาทางจะพัฒนาการแข่งขันให้น่าสนใจมากขึ้นกว่าเดิม ให้เหมาะสมกับโลกยุคใหม่ที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ในวงเล็บก็เพื่อหาทางทำรายได้ให้มากขึ้นด้วย ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นปัญหาตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะในกลุ่มสโมสรมหาอำนาจทางการลูกหนังที่พยายามเรียกร้องและกดดันยูฟ่าในฐานะเจ้าภาพและคนกลาง (ก่อนที่สุดท้ายจะตลบหลังด้วยการประกาศตั้งซูเปอร์ลีกแบบไม่ทันให้ทุกคนตั้งตัว)
ความจริงแล้วการเปลี่ยนแปลงรูปแบบในครั้งนี้ของแชมเปียนส์ลีกเองก็มีความน่าสนใจ อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการปรับโฉมใหม่ครั้งใหญ่ที่สุดนับตั้งแต่เริ่มก่อตั้งรายการเมื่อปี 1955 – สมัยนั้นยังใช้ชื่อว่ายูโรเปียน แชมเปียนคลับส์ คัพ ก่อนจะรีแบรนด์เป็นแชมเปียนส์ลีกในปี 1992
แชมเปียนส์ลีกเวอร์ชันนี้มีหน้าตาอย่างไร? เปลี่ยนแปลงตรงไหนบ้าง? ขอสรุปให้เข้าใจกันง่ายๆ อีกครั้ง
แชมเปียนส์ลีกในฤดูกาล 2024-25 จะเปลี่ยนแปลงอย่างไร?
การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดคือการยกเลิกระบบการแข่งขันแบบแบ่งกลุ่ม 32 ทีม (8 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม) ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
โดยนับจากฤดูกาล 2024-25 เป็นต้นไปจะเพิ่มจำนวนทีมเป็น 36 ทีม และทุกทีมแข่งขันอยู่ใน ‘ลีก’ เดียวกัน
แต่คำว่าลีกนี้ไม่ได้แปลว่าทั้ง 36 ทีมจะแข่งแบบพบกันหมด (เพราะถ้าทำแบบนั้นคงต้องแข่งกันตลอดทั้งปีไม่ได้หยุดเหมือนลีกทั่วไป)
ใน 36 ทีมนี้ แต่ละทีมจะได้ลงเล่นทั้งหมด 10 นัด แบ่งเป็นเกมเหย้า 5 นัด และเกมเยือน 5 นัด (เป็นการทำตามนิยามของคำว่าลีก)
ส่วนคู่แข่งที่จะได้พบใน 10 นัดนี้จะมาจากการ ‘สุ่ม’ โดยดูจากเกณฑ์ต่างๆ เช่น ผลงาน ฯลฯ (เหมือนในปัจจุบันมีการแบ่งระดับเป็นโถต่างๆ) และจะมีการ ‘เกลี่ย’ ให้ทุกทีมได้คู่แข่งที่เหมาะสมพอดีกัน ไม่ได้เจอแต่ทีมเก่งอย่างเดียว หรือไม่ได้เจอแต่ทีมอ่อนอย่างเดียว
การสุ่มเจอคู่แข่งแบบนี้เรียกกันว่า ‘Swiss Model’ ซึ่งเป็นระบบที่มีการใช้ในเกมกีฬาอยู่ก่อนแล้ว โดยเฉพาะในกีฬาหมากรุก
ทีมที่เพิ่มขึ้นมา 4 ทีมจะมาอย่างไร?
ในระบบเดิม 32 ทีมในแชมเปียนส์ลีกจะมีที่มาหลากหลาย ที่เป็นหลักคือผ่านการคัดเลือกจากผลงานในลีกของแต่ละชาติสมาชิก ซึ่งแต่ละชาติก็จะได้จำนวนที่นั่งมากน้อยแตกต่างกันตามค่าสัมประสิทธิ์ของผลงานของสโมสรในรายการยุโรป (แชมเปียนส์ลีก, ยูโรปาลีก ใน 5 ปีหลังสุด)
เช่น อังกฤษ, สเปน, อิตาลี ได้สิทธิ์จำนวน 4 ที่ ขณะที่สกอตแลนด์ได้ 1 ที่เป็นต้น และจะมีการดูผลงานด้วยว่าจะได้ผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่มเลย หรือจะต้องเล่นรอบคัดเลือกก่อน
ทีนี้ระบบใหม่ก็จะยังคงใช้แบบเดิมอยู่สำหรับ 32 ทีมแรก (อ้าว!) เพียงแต่สำหรับโควตา 4 ที่ที่เพิ่มขึ้นมานั้นจะมีเกณฑ์ดังนี้
- สลอตที่ 1: จะให้สำหรับสโมสรจากชาติที่อยู่ในอันดับที่ 5 ตามค่าสัมประสิทธิ์ของยูฟ่า
- สลอตที่ 2: จะให้แก่แชมป์ลีกของชาติที่มีค่าสัมประสิทธิ์สูงที่สุดในบรรดาลีกทั้งหมดของยุโรปที่ไม่ได้สิทธิ์ในการผ่านเข้าเล่นโดยอัตโนมัติ เช่น อาจจะเป็นแชมป์จากลีกเนเธอร์แลนด์ หรือเบลเยียม
- สลอตที่ 3 และ 4: จะให้สิทธิ์แก่ 2 สโมสรที่มีค่าสัมประสิทธิ์ที่สูงที่สุดที่ไม่ได้สิทธิ์ในการผ่านเข้ามาเล่นในแชมเปียนส์ลีกโดยอัตโนมัติ แต่ ‘เคย’ ผ่านเข้ามาเล่นรอบคัดเลือกของแชมเปียนส์ลีก, ยูโรปาลีก หรือยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ (ดูจากฤดูกาล 2021-22 เป็นต้นไป)
ตกลงจะแข่งกันแบบไหน? ใครได้แต้มมากที่สุดคือแชมป์?
อย่างที่บอกว่าแชมเปียนส์ลีกแบบใหม่จะเล่นในระบบ ‘ลีก’ ดังนั้น ‘คะแนน’ คือตัวตัดสินผลงาน
ชนะได้ 3 คะแนน เสมอ 1 คะแนน และแพ้ได้ไข่ต้มไป
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าทีมที่ได้คะแนนมากที่สุดจะได้แชมป์ไปครอง เพราะจะต้องไปแข่งกันต่อในรอบน็อกเอาต์ โดยต่อจากลีก (ซึ่งเป็นรอบแรก) คือรอบน็อกเอาต์ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ 16 ทีมสุดท้ายเป็นต้นไป
16 ทีมสุดท้ายคัดเลือกอย่างไร?
16 ทีมสุดท้ายที่จะได้ผ่านเข้ารอบนั้นจะมาจาก
- ทีมที่ทำผลงานในลีกได้อันดับ 1-8 ได้เข้ารอบทันที
- ทีมอันดับที่ 9-24 จะได้แข่งเพลย์ออฟกัน โดยทีมอันดับที่ 9-16 จะได้จับสลากเพื่อเจอกับทีมอันดับที่ 17-24 แข่งกัน 2 เลก (เหย้า-เยือน) เพื่อหาทีมเข้ารอบต่อไป
ส่วนทีมอันดับที่ 25 เป็นต้นไปแพ็กของกลับบ้านทันที โดยจะไม่ได้สิทธิ์ลงไปแข่งในยูโรปาลีกต่อ
หลังจากเข้ารอบน็อกเอาต์แล้วทุกอย่างก็จะเป็นไปตามแบบเดิมที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นรูปแบบดั้งเดิมที่สุดตั้งแต่สมัยยูโรเปียน คัพ คือแข่งกันแบบแพ้คัดออก ดูผลรวม 2 นัด ยกเว้นนัดชิงชนะเลิศที่จะแข่งแบบนัดเดียวจบที่สนามเป็นกลาง
ในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ยูฟ่าเชื่อว่าสำหรับแฟนๆ แล้วพวกเขาจะได้ดูทีมระดับท็อปเจอกันบ่อยและเร็วขึ้นในรายการนี้ และด้วยระบบ Swiss Model ตารางอันดับคะแนนจะเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ทำให้ได้ลุ้นกันถึงท้ายที่สุดว่าใครจะได้ผ่านเข้ารอบหรือตกรอบ
สำหรับเกมฟุตบอลยุโรป ระบบใหม่นี้ถูกออกแบบมาด้วยหวังว่าจะเป็นผลดีต่อวงการฟุตบอลยุโรปในทุกระดับ รวมถึงเรื่องของรายได้ที่จะกระจายไปทุกภาคส่วน เพื่อความสมัครสมานสามัคคีเป็นหนึ่งเดียวกันของทวีป
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์
อ้างอิง:
- https://www.uefa.com/uefachampionsleague/news/0268-12157d69ce2d-9f011c70f6fa-1000–new-champions-league-format-explained/
- https://www.uefa.com/insideuefa/mediaservices/mediareleases/news/0268-1213f7aa85bb-d56154ff8fe8-1000–new-uefa-club-competition-formats/?iv=true
- ในรายการยูโรเปียน คัพ ดั้งเดิมจะให้สิทธิ์เฉพาะแชมป์ของประเทศเข้าร่วมแข่งขัน ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงให้ทีมรองแชมป์เข้าร่วมด้วยในปี 1995 และเริ่มให้ทีมรองลงไป (3 และ 4 ของบางชาติ) เข้าร่วมด้วยในเวลาต่อมา มีการเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด
- สำหรับยูโรปาลีก และรายการน้องใหม่ยูโรปา คอนเฟอเรนซ์ จะใช้รูปแบบเดียวกันกับแชมเปียนส์ลีก แต่จำนวนทีมและจำนวนเกมจะน้อยกว่า แต่อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต
- ยูฟ่าจะมีการตัดสินใจขั้นต่อไปเกี่ยวกับกำหนดวันแข่งขัน ระบบการจัดอันดับ (Seeding System) รูปแบบของรอบชิงชนะเลิศ การคำนวณค่าสัมประสิทธิ์ การกระจายรายได้ โดยคาดว่าจะมีการตัดสินใจได้ภายในปลายปีนี้