นักเศรษฐศาสตร์ของ Bloomberg Economics วิเคราะห์ว่า การออกกฎควบคุมสถาบันกวดวิชาเอกชนของจีนซึ่งห้ามไม่ให้แสวงหากำไร และเปิดสอนในช่วงสุดสัปดาห์และวันหยุดจะมีผลกระทบต่อการเติบโตของเศรษฐกิจจีนในปีนี้อย่างจำกัด และอาจส่งผลดีต่อจีนในระยะยาวจากต้นทุนค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรที่ลดลง และอัตราการเกิดที่จะเพิ่มสูงขึ้น
จางชู และ อีริคซู สองนักเศรษฐศาสตร์จาก Bloomberg ระบุว่า การออกกฎควบคุมดังกล่าวของจีนมีจุดมุ่งหมายเพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของบุตรให้กับผู้ปกครอง ซึ่งที่ผ่านมาเรื่องนี้เป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้คนจีนจำนวนมากเลือกที่จะไม่มีลูกเพิ่มหรือไม่มีลูกเลย ทำให้ทางการจีนเริ่มกังวลถึงผลกระทบในระยะยาวจากอัตราการเกิดและประชากรวัยแรงงานที่จะลดลง รวมถึงการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยในอนาคต
“แม้ว่านโยบายดังกล่าวจะทำให้หุ้นเซ็กเตอร์การศึกษาเอกชนของจีนที่จดทะเบียนในตลาดฮ่องกงและนิวยอร์กดิ่งลงอย่างรุนแรง แต่เรายังเชื่อว่าจะมีผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนจากวิกฤตโควิดในปีนี้ไม่มาก เพราะเซ็กเตอร์ดังกล่าวมีมูลค่าตลาดราว 1 แสนล้านดอลลาร์หรือ 0.7% ของ GDP จีนเท่านั้น” สองนักเศรษฐศาสตร์กล่าว
พวกเขาเชื่อว่านโยบายนี้จะส่งผลบวกต่อการบริโภคภายในประเทศของจีนในระยะยาวจากการเติบโตของประชากร ขณะเดียวกันการบังคับใช้กฎของทางการจีนจะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปเพื่อป้องกันไม่ให้สถาบันการกวดวิชาเอกชนล้มครืนในคราวเดียว ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง เพราะหลายครอบครัวได้จ่ายเงินล่วงหน้าสำหรับคอร์สการเรียนไปแล้ว และธุรกิจโรงเรียนกวดวิชายังมีการจ้างงานบัณฑิตจบใหม่จำนวนมาก
สำหรับผลกระทบเชิงลบระยะยาวจากนโยบายนี้ ผู้เชี่ยวชาญมองว่าตำแหน่งงานจำนวนมากในเซ็กเตอร์นี้จะหายไปเช่นเดียวกับความเชื่อมั่นของนักลงทุนเอกชน ที่จะลดลงจากการแทรกแซงภาคเอกชนของรัฐบาลจีนที่เพิ่มขึ้นในระยะหลัง
อ้างอิง:
