วานนี้ (18 พฤศจิกายน) สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า อนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) ครั้งที่ 1/2568 โดยมี เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี เป็นรองประธานกรรมการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยผู้แทนหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ภาคเอกชน นายกสมาคมผู้ส่งออกข้าว สมาคมโรงสีข้าว และผู้แทนภาคเกษตรกร อาทิ นายกสมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย เข้าร่วมประชุม
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า การประชุม นบข. เป็นกลไกสำคัญในการกำหนดทิศทางการบริหารจัดการข้าวของประเทศ ทั้งด้านการผลิต การตลาด และการยกระดับคุณภาพชีวิตชาวนา ให้สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลในการบริหารจัดการราคาสินค้าเกษตรให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมในช่วงปีนี้ สถานการณ์ตลาดข้าวโลกมีความผันผวนสูง
ในโอกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาชนจีนอย่างเป็นทางการ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้กราบบังคมทูลต่อหน้าพระพักตร์ว่า จีนจะซื้อข้าวไทย 500,000 ตัน ซึ่งนับเป็นสัญญาณเชิงบวกต่อราคาข้าวไทย นอกจากนั้นไทยยังตกลงขายข้าว และอาหารล่วงหน้าให้แก่สิงคโปร์ 100,000 ตัน นายกรัฐมนตรีจึงได้กล่าวขอบคุณกระทรวงพาณิชย์ และทุกฝ่ายที่ได้เตรียมการ รวมถึงการเจรจาทุกระดับอย่างต่อเนื่องจนนำมาสู่ผลสำเร็จนี้ โดยถือเป็นการเปิดตลาด เปิดโมเมนตัมแล้ว ขอให้เดินหน้าปรับปรุงคุณภาพข้าวให้ดีที่สุด
ดังนั้น จึงจำเป็นต้องวางนโยบายเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตชาวนา ควบคู่กับการรักษามาตรฐานของสินค้าข้าวไทยอย่างจริงจัง โดยขอให้ร่วมกันหาแนวทาง/มาตรการข้าวที่ยั่งยืนในระยะยาวให้ข้าวไทยเป็นข้าวคุณภาพ มีผลผลิตต่อไร่สูง ชาวนาขายข้าวได้ในราคาที่เหมาะสม ไม่ได้รับความเดือดร้อนในการประกอบอาชีพ
รัฐบาลมีความตั้งใจจริงที่จะให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาว ทั้งในด้านรายได้ชาวนา คุณภาพการผลิต และขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ นโยบายและมาตรการที่ดำเนินการจะต้องเป็นรากฐานให้กับอนาคตที่มั่นคงของวงการข้าวไทย โดยวันนี้ ขอให้ที่ประชุมพิจารณานโยบายและมาตรการต่างๆ ที่ทำให้ชาวนามีรายได้ที่มั่นคง โดยยึดหลักสำคัญ 3 ประการ
1. บริหารจัดการราคาข้าวให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม พร้อมยกระดับรายได้และลดต้นทุนให้ชาวนาอย่างยั่งยืน
2. เพิ่มศักยภาพการแข่งขันของข้าวไทย ทั้งด้านคุณภาพ มาตรฐาน และโลจิสติกส์
3. สร้างเสถียรภาพตลาด ทั้งตลาดภายในประเทศ และตลาดต่างประเทศ ควบคู่กันไป
นายกรัฐมนตรีเชื่อมั่นว่า ความร่วมมือของทุกภาคส่วนจะช่วยกันขับเคลื่อนอนาคตข้าวไทย และสร้างความมั่นคงให้กับพี่น้องเกษตรกรอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับทราบรายงานสถานการณ์ข้าวโลก ที่ผลผลิตข้าวโลก ปี 2568/69 เมื่อรวมกับสต็อกข้าวต้นปี จะมีปริมาณผลผลิต (Supply) รวมเท่ากับ 729.45 ล้านตันข้าวสาร ในขณะที่มีความต้องการบริโภคและการค้า (Demand) รวมปริมาณ 604.25 ล้านตันข้าวสาร ซึ่งทำให้เกิดอุปทานส่วนเกินปริมาณ 125.20 ล้านตันข้าวสาร อันเป็นแรงกดดันราคาข้าวในตลาดโลก ขณะที่สถานการณ์ข้าวไทย ข้าวรวม (supply) ปี 2568/69 คาดว่ารวมจะอยู่ที่ 27.31 ล้านตันข้าวสาร และความต้องการใช้ข้าวไทย รวม 23.5 ล้านตันข้าวสาร
ที่ประชุมมีมติทบทวนแนวทางดำเนินโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 ให้เกษตรกรนำข้าวเปลือกเข้าฝากเก็บในยุ้งฉางเป็นระยะเวลา 1–5 เดือน ตั้งเป้าปริมาณ 3 ล้านตันข้าวเปลือก โดยทบทวนราคาสินเชื่อสำหรับข้าวเจ้า ข้าวปทุมธานี และข้าวเหนียว ให้สอดคล้องกับราคาตลาดปัจจุบัน และเกษตรกรที่มียุ้งฉางของตัวเองจะได้ค่าฝากเก็บ 1,500 บาทต่อตัน
นอกจากนี้ ที่ประชุมมีมติเห็นชอบในหลักการจัดทำมาตรการ ภายใต้กรอบแนวคิด ข้าวไทยสู่เศรษฐกิจอนาคต (New Rice Economy) โดยมาตรการระยะสั้น เน้นการบริหารจัดการข้าวขาวที่มีส่วนเกิน ได้แก่ โครงการดูดซับข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 เป้าหมาย 3 ล้านตันข้าวเปลือก วงเงินจ่ายขาด 1,680 ล้านบาท เพื่อดูดซับอุปทาน (Supply) ในตลาด และระบายออกอย่างเหมาะสมตามสถานการณ์ตลาด และมีแผนนำข้าวเปลือกไปแปรรูปเป็นข้าวสารบรรจุถุง จำหน่ายเพื่อเชื่อมโยงไปยังหน่วยงานที่มีความต้องการใช้จริง อาทิ กระทรวงยุติธรรม (กรมราชทัณฑ์) หน่วยงานกองทัพ และหน่วยงานรัฐอื่น ๆ
มาตรการระยะยาวเพื่อปรับปรุงโครงสร้างการผลิต ที่ประชุมยังได้เห็นชอบเดินหน้ามาตรการระยะยาวเพื่อปรับปรุงโครงสร้างการผลิต โดยเฉพาะการศึกษาการปรับเปลี่ยนพื้นที่การเพาะปลูกข้าวนาปรังบางส่วน เพื่อให้มีความเหมาะสมกับสภาพพื้นที่และความต้องการของตลาด กำหนดกรอบไว้ที่ 1,000,000 ไร่ โดยที่ประชุมมอบหมายให้มีการพิจารณากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างรอบคอบก่อนดำเนินการ
รวมถึงการส่งเสริมให้เกษตรกรปรับปรุงคุณภาพ โดยปรับเปลี่ยนไปสู่การผลิตข้าวคุณภาพสูงหรือข้าวเฉพาะ (Specialty Rice) เพื่อเพิ่มมูลค่าให้ผลผลิต ช่วยให้มีตลาดรองรับ และสร้างการรับรู้แก่ผู้บริโภคเกี่ยวกับความโดดเด่นของข้าวไทยมากยิ่งขึ้น เช่น ข้าวหอมมะลิ ข้าวสิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ (GI) ข้าวที่มีอัตลักษณ์อื่น ๆ โดยกำหนดเป้าหมายเป็นกลุ่มเกษตรกร 200 กลุ่ม วงเงินจ่ายขาด 120 ล้านบาท และการพัฒนาเมล็ดพันธุ์ข้าวตามความต้องการของตลาด ซึ่งในพื้นที่ภาคกลางยังขาดข้าวคุณภาพสูงที่มีความหลากหลาย เพื่อนำมาปลูกทดแทนข้าวพื้นแข็ง โดยมอบหมายให้กรมการข้าว ไปศึกษาเพิ่มเติมให้เกิดความเหมาะสมต่อไป
ที่ประชุมยังเห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการภายใต้คณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ รวม 4 คณะ ได้แก่ (1) คณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการผลิต (2) คณะอนุกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติด้านการตลาด (3) คณะอนุกรรมการพิจารณาชดเชยดอกเบี้ยให้ผู้ประกอบการค้าข้าวในการเก็บสต็อก และ (4) คณะอนุกรรมการติดตามกำกับดูแลการบริหารจัดการข้าวระดับจังหวัด โดยมอบหมายกรมการค้าภายใน ในฐานะฝ่ายเลขานุการฯ นบข. เสนอคำสั่งฯ ประธานกรรมการ นบข. ลงนามต่อไป


