วันนี้ (4 มีนาคม) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการหารือข้อพิพาทกรณีการออกเอกสารสิทธิ์ ที่ดิน ส.ป.ก. 4-01 ตำบลหมูสี อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา ระหว่างกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง ได้มีการแถลงข่าวร่วมกันระหว่าง 2 หน่วยงาน
จตุพร บุรุษพัฒน์ ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า การประชุมวันนี้เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทุกคนต่างให้ข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ ซึ่งทั้ง 2 กระทรวงมีเป้าหมายทำงานเพื่อประชาชน วันนี้เราเอาข้อเท็จจริงมาพูดคุยกันทั้งหมด รวมถึงการวางแนวทางการทำงานร่วมกัน นอกจากนี้ทางกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมได้เสนอไปยังกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ว่า จากนี้ไปการออกเอกสารสิทธิ์ที่ดินทำกิน สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) จะต้องมีคณะกรรมการจาก 9 หน่วยงาน ไปร่วมรับรองแนวเขตด้วย และมีพื้นที่ที่เป็นคอร์ริดอร์หรือแนวกันชน หรือพื้นที่รอยต่อ จะต้องมีการอนุรักษ์ไว้สำหรับสัตว์ป่า ซึ่งถือเป็นนโยบายของรัฐบาลที่เป็นข้อตกลงหรือ MOU ร่วมกันระหว่าง 2 กระทรวง
รอ สคทช. เคาะ One Map ภายใน 2 เดือน
ขณะที่ ประยูร อินสกุล ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวยืนยันว่า พื้นที่กันชนจะไม่มีการนำมาจัดสรรเป็นที่ดินทำกินให้ประชาชน สำหรับพื้นที่บริเวณปัญหาพื้นที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมาและปราจีนบุรี จะรอให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (สคทช.) จัดทำ One Map ให้แล้วเสร็จ และจนกว่าจะได้ข้อยุติใน 2 เดือนนี้ โดยหากคณะกรรมการชุดดังกล่าวได้ข้อสรุปอย่างไร ทั้ง 2 กระทรวงจะยึดตามนั้น และหากพื้นที่ของ ส.ป.ก. เป็นพื้นที่ที่มีประโยชน์ต่อการอนุรักษ์ป่า หรือเป็นที่อยู่ของสัตว์ป่า จะเว้นไว้ทำเป็นป่าชุมชน ไม่ให้มีการจัดสรรที่ดินดังกล่าวให้กับเกษตรกร
ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ยังกล่าวด้วยว่า การพิสูจน์เกษตรกรที่ได้รับการจัดสรรที่ดินไปแล้วก่อนหน้านี้ มีการแต่งตั้งคณะกรรมการระดับเขตและระดับจังหวัด เพื่อตรวจสอบหากไม่ใช่เกษตรกรตัวจริงจะต้องดำเนินการยกเลิกเอกสารสิทธิ์ดังกล่าว และให้ดำเนินการทางวินัยกับข้าราชการที่ออกเอกสารสิทธิ์ที่ไม่ใช่เกษตรกร พร้อมยืนยันว่าพื้นที่ใดที่เป็นอุปสรรคหรือมีปัญหาเรื่องการทับซ้อน จะมีการส่งเรื่องไปยัง สคทช. โดยใช้ One Map เป็นตัวตัดสิน
30 วัน พิสูจน์ที่ดินพิพาท 2 หน่วยงาน
ด้าน อรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช กล่าวว่า ตนได้คุยกับเลขาธิการ ส.ป.ก. แล้ว จะมีการกำหนดทีมงานเพื่อทำงานร่วมกัน โดยมีการวางกรอบระยะทำงาน 30 วันแรก ว่ามีพื้นที่ทับซ้อนตรงกันหรือไม่ ซึ่งจะทำให้ทราบว่าทั้งประเทศมีพื้นที่ใดบ้างที่ไม่ตรงกัน ซึ่งภายใน 1 เดือนนี้ พื้นที่ใดไม่มีปัญหาเรื่องการทับซ้อนก็จะสามารถส่งเรื่องให้คณะกรรมการ One Map
ตั้ง 9 หน่วยงานตรวจสอบออกที่ดิน ส.ป.ก. ถูกที่ถูกทาง
วิณะโรจน์ ทรัพย์ส่งสุข เลขาธิการ ส.ป.ก. กล่าวว่า เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตนได้มีหนังสือไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ แต่งตั้งคณะทำงานประกอบด้วย 9 หน่วยงาน โดยให้คณะทำงานช่วยดูว่าการออกเอกสารสิทธิ์ของ ส.ป.ก. ทับซ้อนหรือไม่ หรือรุกล้ำหน่วยงานใดหรือไม่ เพื่อให้ยืนยันว่า ส.ป.ก. ออกเอกสารสิทธิ์ถูกที่ ถูกทาง ไม่ไปล้ำที่ป่าไม้ หรือสถานที่สำคัญของหลวง ยืนยันว่าจากนี้พื้นที่ตรงไหนที่มีปัญหาทับซ้อนกันเราจะไม่ทะเลาะกัน จะส่งเรื่องให้คณะกรรมการ One Map และหากพื้นที่ใดเข้าใกล้พื้นที่กันชน อยากให้แจ้งผ่านกรมอุทยานฯ มายัง ส.ป.ก. เพราะก่อนหน้านี้ต่างคนต่างทำงาน และต่อจากนี้จะทำงานใกล้ชิดกันมากขึ้น
ที่ผ่านมาช่างมัน ขอต่างคนต่างทำงาน
“อดีตที่ผ่านมาก็ช่างหัวมัน เพราะสุดท้ายต่างคนก็ต่างทำหน้าที่ เพราะสุดท้ายพี่ (ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร) ก็ต้องทำงานให้ชาวบ้าน ผมก็ต้องทำงานให้ชาวบ้าน เพียงแต่ว่าเจตนารมณ์ของแต่ละหน่วยงานมีมิติการทำงานไม่ตรงกัน พี่ชัยวัฒน์มีหน้าที่อนุรักษ์ ส่วนผมก็มีหน้าที่หาที่ดินให้คน ผมก็ต้องทำตามหน้าที่ ซึ่งวันนี้ก็ต้องมาคุยกัน” เลขาธิการ ส.ป.ก. กล่าว
เลขาธิการ ส.ป.ก. กล่าวว่า ไม่ต้องกังวลเรื่องเอกสารสิทธิ์ ส.ป.ก. ที่ได้ออกไปแล้ว ตอนนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการคุยกันของรัฐ และหากที่สุดแล้วมีมติออกมาเป็นอย่างไร ประชาชนที่ได้รับผลกระทบรัฐจะเยียวยาให้แน่นอน ซึ่งพื้นที่ที่มีปัญหาส่วนใหญ่จะเป็นแนวตะเข็บรอยต่อ คณะกรรมการ One Map จะรับผิดชอบดูแล แต่ตอนนี้อะไรที่ยังไม่ชัดเจนขอให้ใช้ชีวิตตามปกติสุขไป
สำหรับเรื่องคดีความที่ 2 หน่วยงานแจ้งความดำเนินคดีไว้นั้น ปลัดกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ระบุว่า ทั้ง 2 หน่วยงานตกลงกันว่าจะให้ดำเนินการตรวจสอบแนวเขตให้เสร็จสิ้นภายใน 2 เดือน ส่วนคดีความตนจะรับผิดชอบเอง ดังนั้นจึงไม่มีปัญหา ขอให้ทุกอย่างดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา ให้รอข้อเท็จจริง ข้อกฎหมาย และหลักวิทยาศาสตร์ หลังจาก One Map ชี้ขาดเส้นแนวเขตแล้ว เรื่องคดีค่อยมาพูดคุยกัน
พื้นที่ทับซ้อนตกลงกันไม่ได้ ให้คณะกรรมการ One Map ชี้ขาด
ส่วนแนวเส้นระหว่างอุทยานฯ และ ส.ป.ก. ในพื้นที่ทับซ้อนที่ทั้ง 2 หน่วยงานจะเข้าไปตรวจสอบนั้นจะใช้วิธีการตรวจสอบจาก Field Book ของทั้ง 2 หน่วยงานมาเปรียบเทียบกัน หากมีพื้นที่ทับซ้อนก็จะต้องพูดคุยตกลงกันว่าจะยกพื้นที่นั้นให้ใครดูแล หากตกลงกันได้ก็จะดำเนินการต่อทันที แต่ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็จะส่งให้คณะกรรมการ One Map เป็นผู้ชี้ขาด
คาด One Map ครบ 77 จังหวัด ปีงบ 68
ด้าน ว่าที่ร้อยตรี พีรพล มั่นจิตต์ ตัวแทน สคทช. ระบุว่า สคทช. ให้ความสำคัญกับเรื่องการแบ่งเส้นที่ดินของรัฐให้ชัดเจน แต่หากหน่วยงานผู้ปฏิบัติดำเนินการแล้วมีความขัดแย้งกัน สคทช. ก็มีอนุกรรมการตามกฎหมายช่วยเหลือเพื่อเสนอเข้าสู่คณะรัฐมนตรี (ครม.) เป็นกฎหมายออกมา ส่วนการพิสูจน์เขตแดนก็จะส่งตัวแทนเข้าไปร่วมด้วย ส่วนความคืบหน้าการทำ One Map ใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ มีการแบ่งออกเป็น 7 กลุ่ม ทำเสร็จเรียบร้อย เสนอเข้า ครม. ไปแล้ว 3 กลุ่ม และกลุ่มที่ 4 กำลังจะเข้า ส่วนกลุ่มที่ 5-7 อยู่ในปีงบประมาณ 2568
‘ชัยวัฒน์’ ไม่ยอมรับแผนที่ทหาร
ส่วนกรณีที่ชัยวัฒน์เคยประกาศว่าไม่ยอมรับแผนที่ของ One Map นั้น ชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ ระบุว่า สิ่งที่ตนพูดไปคือไม่ยอมรับการที่กรมแผนที่ทหารนำแผนที่ที่ตัวเองรังวัดใหม่ไปส่งให้กับคณะกรรมการ One Map แล้วคณะกรรมการ One Map ยอมรับแผนที่ดังกล่าว
แต่หลังจากนี้เมื่อมีการหารือกันระหว่าง 2 หน่วยงานให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการ One Map เป็นผู้ขีดเส้น หากอยู่ในพื้นที่ของใครก็จะต้องดำเนินการตามกฎหมายกับอีกฝ่าย ดังนั้นผลการพูดคุยวันนี้เป็นที่น่าพอใจ เพราะตนต้องการแค่ความถูกต้อง และสิ่งที่ภูมิใจมากคือการหยิบยกพื้นที่คอร์ริดอร์หากสามารถทำได้จริงจะมีพื้นที่ป่าอีกส่วนหนึ่งที่จะคืนให้ประเทศ
รอ ป.ป.ช. เอาผิด ‘ชัยวัฒน์’ ถอนหมุด
ขณะที่ ธนดล สุวัณณะฤทธิ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า ที่ ส.ป.ก. ไปแจ้งความเอาผิดชัยวัฒน์ ตามพระราชบัญญัติปราบปรามการทุจริตฯ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจะใช้เวลาแสวงหาข้อเท็จจริง 30 วัน ก่อนส่งสำนวนให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อเอาผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 159 เนื่องจากชัยวัฒน์เข้าไปดำเนินการถอนหมุด ส.ป.ก. โดยที่เข้าใจว่าเป็นพื้นที่อุทยาน แต่ ส.ป.ก. ไปแจ้งความเอาผิดเพราะ ส.ป.ก. บอกเป็นพื้นที่ของ ส.ป.ก. ดังนั้นชัยวัฒน์จะเจตนาหรือไม่อยู่ที่ความตั้งใจ ซึ่ง ป.ป.ช. จะตรวจสอบต่อไป แต่ในระหว่าง 2 หน่วยงานได้ปรับความเข้าใจจนได้ข้อยุติแล้ว
จบหล่อไม่ได้ ต้องมีคนผิด
ขณะเดียวกัน ชัยวัฒน์ได้ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า เรื่องแจ้งความเป็นกฎหมายอาญา ต้องมีการพิสูจน์ และคาดการณ์ว่าเขาก็ต้องแจ้งความเรา เนื่องจากตนไปถอนหมุดเขามา หากเขาไม่แจ้งก็แสดงว่าหลักนั้นเป็นหลักเถื่อน เป็นหลักเท็จ ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายยื่นหลักฐานมาตัดสินกันไม่ได้ก็ต้องให้คณะกรรมการเป็นคนตัดสินตามหลักฐานที่มี หากตัดสินว่าเป็นพื้นที่ในเขต ส.ป.ก. ตนรับเต็มทั้งเรื่องแจ้งความเท็จหรือเรื่องอื่นๆ แต่หากอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ตนก็จะฟ้องกลับเช่นเดียวกันไม่ว่าใครที่สั่งการ
ชัยวัฒน์กล่าวอีกว่า วันนี้จะจบแบบหล่อๆ ไม่ได้ เพราะเหตุที่เกิดขึ้นเกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า เราก็พยายามที่จะสื่อสารมาโดยตลอดแต่ไม่เป็นผล วันนี้ได้ข้อยุติระดับหนึ่ง ซึ่งรออีก 2 เดือนว่าพื้นที่ตรงนี้จะเป็นของใคร ยืนยันว่าหลักฐานเรามีเพียงพอที่จะยืนยันว่าเป็นพื้นที่ของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่
“ที่บอกว่าจะจบแบบหล่อๆ ไม่ได้ คือจะจบแบบไม่มีใครผิดไม่ได้ งานนี้ต้องมีคนผิดเมื่อเขาไม่ผิด ผมก็ต้องผิด เพราะเราทิ้งตัวแล้ว ไม่ใช่ว่าผมจะเกษียณแล้วทิ้งตัว แต่ผมสู้มาตลอดชีวิต การจะจบโดยไม่มีใครผิดไม่ได้ ใครที่ทำหลักฐานเท็จ ใครออกโฉนดโดยมิชอบ ต้องมีคนผิด หากเขาไม่ผิด ผมก็ต้องผิด ซึ่งต้องรับผิดชอบการกระทำของตนเองอยู่แล้ว” ชัยวัฒน์กล่าว
อย่างไรก็ตาม ภายหลังการแถลงข่าว เลขาธิการ ส.ป.ก. ได้เดินเข้าไปพูดคุยกับชัยวัฒน์เรื่องการส่ง Field Book เพื่อตรวจสอบแนวเขตระหว่าง 2 หน่วยงาน ด้วยท่าทางเป็นกันเอง และได้ยกมือไหว้กันหลังการพูดคุยอีกด้วย