ต่อจากการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ล่าสุดในตระกูล iPhone 14 รวมถึง Apple Watch Series ล่าสุด Apple Watch Ultra ที่มาพร้อมกับนาฬิการะดับโปร เมื่อเดือนกันยายน ก็มาถึงคิวของแท็บเล็ตสุดฮิตอย่าง iPad ที่ถึงเวลาอัปเดตไลน์อัพกันใหม่บ้าง
โดยเมื่อวันที่ 18 ตุลาคมที่ผ่านมา Apple ได้เปิดตัว iPad รุ่นใหม่พร้อมกัน 2 รุ่นด้วยกันในรุ่น iPad และ iPad Pro ที่มาพร้อมกับเสียงตอบรับอันอื้ออึง เพราะทั้ง 2 รุ่นที่เปิดตัวใหม่นั้นดูจะทำให้เกิดความสับสนในการ ‘ทับไลน์’ กันเองของตระกูล iPad
ข่าวที่เกี่ยวข้อง:
- iPad Gen 10 จะต้องจ่ายเงิน 390 บาท เพื่อซื้อหัวแปลงสำหรับเชื่อมต่อ Apple Pencil รุ่นที่ 1 กับ iPad ตัวใหม่นี้
- iPhone 14 Plus ก็ไม่ปัง! Apple สั่งให้ซัพพลายเออร์อย่างน้อย 1 รายในจีน ‘หยุดผลิต’ ทันที
- สื่ออเมริกาตกใจ ‘iPhone 14’ ไม่ขึ้นราคา แต่ไม่ใช่ในไทยที่รุ่นเริ่มต้นเพิ่มขึ้น ‘อย่างน้อย 2,000 บาท’
รุ่นที่ได้รับการพูดถึงมากที่สุดคือ iPad ตัวเริ่มต้น ซึ่งนับตั้งแต่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2010 กระดานชนวนดิจิทัลนี้มีการรักษาแนวทางการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ด้วยการคงไว้ซึ่งปุ่ม Home (ส่วนอื่นๆ มีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามเทคโนโลยี) โดยมีจุดเด่นคือการเป็น iPad รุ่นที่ถูกที่สุดที่เหมาะสำหรับใช้เป็นอุปกรณ์การศึกษา
แต่ปรากฏว่า iPad รุ่นเริ่มต้นของเวอร์ชัน Late 2022 นั้นได้เปลี่ยนแปลงให้มีความทันสมัยมากขึ้นด้วยการบอกลาดีไซน์ดั้งเดิมและปุ่ม Home มาเป็นดีไซน์สมัยใหม่จอทัชสกรีน Liquid Retina เต็มหน้าจอขนาด 10.9 นิ้ว ที่ขยายหน้าจอไปจนสุดขอบ เพิ่มพื้นที่การมองเห็น โดยพัฒนาหน้าจอให้ชัดและสว่างยิ่งขึ้น พร้อมขุมพลังชิป A14 Bionic
นอกจากนี้ยังมีกล้องหน้าเป็นแบบอัลตราไวด์ ความละเอียด 12MP อยู่ในขอบแนวนอนเพื่อรองรับการใช้งานวิดีโอคอล ขณะที่กล้องหลังความละเอียด 12MP แต่รองรับการถ่ายภาพและวิดีโอแบบ 4K ด้วย ส่วน Touch ID ย้ายไปอยู่ด้านบนแทน และที่เอาใจวัยรุ่นคือรุ่นนี้มีสีสันสดใสถึง 4 สี ได้แก่ สีฟ้า, ชมพู, เหลือง และเงิน
การเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ไม่ได้มาแบบเปล่าๆ เพราะสิ่งแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกันคือการเพิ่มราคาตามมาด้วย โดยรุ่นเริ่มต้น WiFi มีราคาถึง 17,900 บาท ขณะที่รุ่น WiFi + Cellular ราคาเริ่มต้นถึง 23,900 บาท ซึ่งมีส่วนต่างที่เพิ่มจาก iPad รุ่นก่อนหน้านี้ในรุ่น Gen 9 ที่เคยมีราคา 11,400 บาทอยู่ถึง 6,500 บาทเลยทีเดียว แม้ว่า Apple จะยังจำหน่าย Gen 9 อยู่ด้วยยังไม่ได้มีการยกเลิกแต่อย่างใดก็ตาม แต่ก็มีการขึ้นราคาตามความผกผันของค่าเงิน โดยปรับราคาขึ้นมาที่ 12,900 บาท
สิ่งที่ถูกพูดถึงอีกคือเรื่องของอุปกรณ์เสริมที่ iPad ใหม่ยังรองรับ Apple Pencil 1 ที่ไม่สามารถชาร์จเพื่อใช้งานด้วยการวางแปะบนตัวเครื่องได้เหมือนรุ่น 2 (และทำให้เกิดภาพมีมล้อเลียนวิธีการชาร์จ Apple Pencil ของ iPad ตัวใหม่ทันที…) รวมถึง Magic Keyboard Folio ที่ออกแบบสำหรับรุ่นนี้โดยเฉพาะ แต่ก็มีราคาถึง 9,900 บาทเลยทีเดียว
ขณะที่ iPad Pro รุ่นใหม่ที่ถือเป็น ‘เรือธง’ ก็ได้รับเสียงตอบรับในทำนองอื้ออึงอีกเช่นกัน เนื่องจากแทบไม่มีอะไรใหม่เลยนอกจากการเปลี่ยนขุมพลังของเครื่องเป็นชิปตัวใหม่ M2 ที่มีประสิทธิภาพในการทำงานสูงขึ้น 15 เปอร์เซ็นต์ด้วยกัน นอกเหนือจากนั้นคือเรื่องเล็กอย่างเรื่องประสิทธิภาพในการเชื่อมต่อ WiFi รวมถึงการพัฒนาการทำงานร่วมกับ Apple Pencil ให้สามารถระบุความละเอียดได้ในระดับมิลลิเมตร
สิ่งที่แฟนๆ คาดหวังอย่างการเชื่อมต่อด้วย MagSafe หรือดีไซน์ใหม่กระจกสีดำด้านหลังตัวเครื่อง หน้าจอใหม่ที่ให้ความสว่างในระดับ 2,000 นิต ไม่มีอะไรสักอย่าง (แม้ว่า iPad Pro นั้นแทบจะสมบูรณ์แบบไปทุกอย่างอยู่แล้วก็ตาม ทั้งหน้าจอ ขุมพลังเสียง 4 ลำโพง และระบบปฏิบัติการ iPadOS ที่ยอดเยี่ยม) โดยมาในราคาเริ่มต้นรุ่นหน้าจอ 11 นิ้วที่ 32,900 บาท
น่าจะเรียกได้ว่าเป็นการอัปเดตมากกว่าการอัปเกรด
ตกลงแล้ว iPad แบบไหนที่เหมาะกับคุณ?
ก็นั่นน่ะสิ! คือคำที่เราอยากจะบอก เพราะแม้แต่ผู้เขียนเองก็เลือกไม่ถูกเหมือนกันว่าตกลงแล้ว iPad แบบไหนที่จะตอบโจทย์ชีวิตที่สุด
เพราะในเวลานี้ iPad ที่วางจำหน่ายมีด้วยกันทั้งหมด 5 รุ่นคือ
- iPad mini รุ่นหน้าจอเล็กที่สุด พกพาง่าย ราคาเริ่มต้น 19,900 บาท
- iPad Gen 9 รุ่นที่ถูกที่สุดในดีไซน์ดั้งเดิม ราคาเริ่มต้น 12,900 บาท
- iPad Gen 10 รุ่นน้องใหม่ล่าสุดที่น่าสนใจ ราคาเริ่มต้น 17,900 บาท
- iPad Air รุ่นกลาง บางเบา ประสิทธิภาพใช้ได้ ราคาเริ่มต้น 23,900 บาท
- iPad Pro รุ่นท็อปสุด ทรงพลังอย่างแรง ราคาเริ่มต้น 32,900 บาท
ปัญหาที่เกิดขึ้นคือ มีความสับสนของผู้ซื้อที่เลือกไม่ถูก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้งานเริ่มต้น เพราะการส่ง iPad Gen 10 ลงสนาม ทำให้ดูทับไลน์กับ iPad Air ด้วยความที่มีดีไซน์และคุณสมบัติใกล้เคียงกัน (ต่างกันในเรื่องของชิปประมวลผล, การรองรับ Apple Pencil) แม้ว่าสนนราคาจะมีความแตกต่างกันอยู่ 6,000 บาทก็ตาม ขณะที่ iPad Mini ได้ลูกตัวเล็กแต่สเปกแรงกว่า iPad Gen 10 (ชิป A15 Bionic) ซึ่งสองรุ่นนี้ต่างกันแค่ 2,000 บาทเท่านั้น แต่ขนาดหน้าจออาจจะไม่เหมาะสมสำหรับการเรียนการสอนนัก
ทางด้านมาร์ก เกอร์แมน นักวิเคราะห์จาก Bloomberg จึงได้เสนอว่าบางทีไลน์อัพของ iPad ควรจะปรับเปลี่ยนให้เข้าใจง่ายขึ้นสำหรับลูกค้า ซึ่งความจริง Apple เองก็ทำได้ดีอยู่แล้วในกลุ่มของ iPhone รวมถึง Apple Watch ที่แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มชัดๆ คือ กลุ่ม Entry-Level, Mid-Tier และ High-End (หรือพูดง่ายๆ คือตามสูตรการตลาด Good, Better, Best)
ยกตัวอย่างเช่น iPhone ก็มีรุ่น SE เป็นตัวเริ่มต้นในราคาถูก ต่อด้วย iPhone 14 และในรุ่นท็อปคือ iPhone 14 Pro ขณะที่ Apple Watch ก็เช่นกันที่มีรุ่น SE เป็นตัวเริ่มต้น ต่อด้วย Series 8 และตัว Ultra ที่มาเป็นตัวท็อปของรุ่น
ไลน์อัพของ iPad จึงควรจะแบ่งเป็น
- iPad SE สำหรับตัวเริ่มต้น ซึ่งยังควรเป็นโมเดลดั้งเดิมตัวล่างสุด สำหรับนักเรียนนักศึกษา
- iPad และ iPad mini ที่ควรจะรวบให้เป็นโมเดลเดียวกัน ต่างกันแค่ขนาดเหมือน iPhone 14 กับ iPhone 14 Plus (หรือ iPhone 13 กับ iPhone 13 mini) สำหรับกลุ่มผู้ใช้ทั่วไป
- iPad Pro สำหรับกลุ่ม High-End ซึ่งตลาดกลุ่มนี้ค่อนข้างชัดเจนที่สุด ไม่ค่อยมีปัญหา
ถ้าแบ่งออกมาเป็น 3 กลุ่มแบบนี้ Bloomberg เชื่อว่าจะช่วยลดความสับสนทางใจของผู้ซื้อได้มาก (แล้วค่อยไปปวดหัวกับอุปกรณ์เสริมที่ต้องดูว่ารุ่นไหน Compatible กับรุ่นไหนอีก…) เพราะถึงจะมีเสียงบ่นเรื่องราคา เรื่องของการไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายนัก แต่ด้วยระบบปฏิบัติการที่ดีและอัปเดตได้หลายปี เรื่องของ Ecosystem ที่ไม่มีใครสู้ Apple ได้ และคุณภาพความทนทานยาวนานหลายปี (iPad mini รุ่นแรกสุดของผู้เขียนก็ยังใช้งานได้อยู่เลย!) ทำให้ iPad เป็นแท็บเล็ตที่ทุกคนพร้อมจะมองหาเสมออยู่แล้ว
ขอแค่ช่วยทำตัวให้เข้าใจง่ายขึ้นกว่านี้หน่อย และอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ๆ ให้รู้สึกว้าว แค่นี้บัตรเครดิตในมือก็สั่นไปหมดแล้ว!
ภาพ: Courtesy of Apple
อ้างอิง: