วันนี้ (3 สิงหาคม) นพ.ทศพร เสรีรักษ์ สมาชิกพรรคเพื่อไทย, พญ.ของขวัญ ฟูจิตนิรันดร์ พร้อมด้วยนักศึกษา ประชาชน และกลุ่มแพทย์พยาบาลเพื่อมวลชน เดินทางมายังศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ ทำเนียบรัฐบาล เพื่อยื่นหนังสือเปิดผนึกถึง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและผู้อำนวยการศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19), อนุทิน ชาญวีรกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และผู้มีอำนาจในการจัดสรรวัคซีน Pfizer ล็อต 1.503 ล้านโดสจากสหรัฐอเมริกา โดยระบุว่า
เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดโควิดที่รุนแรงในขณะนี้ เจ้าหน้าที่ด่านหน้า บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ที่ทำงานเกี่ยวข้อง รวมถึงจิตอาสา อาสาสมัคร พนักงานขับรถ แม่บ้าน สัปเหร่อ ทั้งในและนอกระบบ รวมถึงคนในครอบครัวทุกคนล้วนแล้วแต่ทุ่มเททำงานอย่างหนักภายใต้ชุด PPE และอุปกรณ์ป้องกันตัวหลายชั้น แต่การป้องกันก็ยังบอบบางเกินกว่านักรบเสื้อกาวน์จะรบในสงครามโรคระบาดครั้งนี้ได้ จึงเรียกร้องให้
1. ยกเลิกกฎเกณฑ์ต่างๆ กับบุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าในการได้รับวัคซีน Pfizer ล็อต 1.503 ล้านโดสที่ได้รับบริจาคมาจากสหรัฐฯ โดยไม่ยกเว้นบุคคลที่เคยปฏิเสธการรับวัคซีน Sinovac ก่อนหน้านี้ ไม่ว่าด้วยสาเหตุใดๆ โดยทางสหรัฐฯ ได้ระบุว่า ความต้องการในการบริจาควัคซีนครั้งนี้ ต้องการให้วัคซีนกับกลุ่มเสี่ยงสูงและกลุ่มเปราะบางอย่างทั่วถึง โปร่งใส รวดเร็ว และเท่าเทียม
2. นับรวมบุคลากรด่านหน้าผู้ที่เข้าเกณฑ์ได้รับวัคซีน Pfizer ทั้งในและนอกระบบ เนื่องจากในสภาวะนี้เราต้องยอมรับว่าอาสาสมัครและภาคเอกชนที่ทำงานเสี่ยงสูง สัมผัสผู้ป่วยโดยตรง โดยไม่อยู่ในระบบและไม่ผ่านหน่วยงานราชการนั้นมีอยู่เป็นจำนวนมาก และเขาเหล่านั้นมีส่วนสำคัญอย่างมากในการช่วยชีวิตพี่น้องประชาชนไม่ต่างกับหน่วยงานด่านหน้าในระบบ และพิจารณากลุ่มที่เสี่ยงสูงที่ไม่เข้าเกณฑ์ เช่น ทันตแพทย์ คนเก็บขยะติดเชื้อ คนทำความสะอาดพ่นแอลกอฮอล์ กู้ภัย หน่วยห้องฉุกเฉินที่อาจจะได้รับผู้ป่วยโควิดโดยไม่รู้ตัว พระ สามเณร สัปเหร่อ และคนที่อยู่ในวัดที่มีการเผาศพผู้ติดโควิด
3. เพิ่มข้อกำหนดให้บุคลากรทางการแพทย์และกลุ่มเปราะบางที่ได้รับวัคซีน AstraZeneca กระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 หรือได้รับวัคซีนสูตรผสม Sinovac+AstraZeneca แล้ว สามารถโอนสิทธิ์การฉีด Pfizer ให้กับบุคคลในครอบครัวที่ยังไม่ได้รับวัคซีนหรือได้รับวัคซีนเพียงเข็มเดียว เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจให้แก่ด่านหน้าในการต่อสู้กับโรคระบาด และเพื่อให้มีความโปร่งใสในการกระจายวัคซีน ทั้งนี้ จะได้ลบข้อครหาของการกระตุ้นภูมิด้วย AstraZeneca ของด่านหน้าก่อนหน้านี้ด้วย
4. ยกเลิกการสำรองวัคซีน 40,000 โดส เพื่อต่อต้านการระบาด 5,000 โดส สำหรับงานวิจัย และเปิดเผยข้อมูลให้โปร่งใสในโควตา 150,000 โดส สำหรับชาวต่างชาติ โดยเฉพาะผู้ที่ต้องเดินทางไปต่างประเทศ เนื่องจากสถานการณ์ฉุกเฉินในปัจจุบันจำเป็นต้องกระจายวัคซีนที่มีคุณภาพให้ทั่วถึงกลุ่มด่านหน้าและครอบครัว รวมถึงกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงในการเสียชีวิตเมื่อติดโควิด
5. เปิดเผยรายชื่อผู้ที่ได้รับวัคซีน Pfizer อย่างโปร่งใสทุกคน เพื่อไม่ให้เกิดข้อกังขาในสังคม
6. พิจารณาทบทวนอีกครั้งกับการกำหนดสูตรการฉีดวัคชีนผสมสูตร Sinovac+AstraZeneca ที่กำหนดให้กับบุคคลทั่วไปทุกคน โดยต้องให้ประชาชนมีสิทธิ์ตัดสินใจเลือกยี่ห้อวัคซีนเอง เนื่องจากการฉีดวัคชีนสูตรนี้จะลดโอกาสหรือมีความเสี่ยงสูงขึ้นหากต้องได้รับ mRNA วัคซีนในอนาคต เพื่อต่อต้านไวรัสกลายพันธุ์ เนื่องจากยังไม่มีงานวิจัยที่มากพอ
7. นำเข้าวัคซีน mRNA เข้ามาฉีดให้กับประชาชนโดยเร็วที่สุด ด่วนที่สุด มากที่สุด และกรุณาชะลอการสั่งซื้อวัคซีนชนิดเชื้อตายเข้ามาเป็นจำนวนมาก เพราะจากสถิติและการวิจัยทั่วโลกบ่งชี้ให้เห็นถึงประสิทธิภาพที่ดีกว่าของวัคซีน mRNA ในการต้านการติดเชื้อโควิดสายพันธ์ุเดลตา เพื่อหยุดวงจรโรคระบาดซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างรุนแรง
8. ตรวจสอบเอกสารรายชื่อตำรวจที่ได้รับการจัดสรรวัคชีนกระตุ้นเป็นเข็มที่ 3 เพื่อแสดงความโปร่งใส