รัฐบาลเนเธอร์แลนด์ ภายใต้การนำของ มาร์ก รุตเตอ นายกรัฐมนตรี ลาออกทั้งคณะ เพื่อแสดงความรับผิดชอบหลังเกิดเหตุอื้อฉาวที่เจ้าหน้าที่ของรัฐกล่าวหาพ่อแม่ผู้ปกครองว่าโกงเงินอุดหนุนเด็ก และบังคับให้พวกเขาจ่ายเงินคืนรัฐ จนเป็นเหตุให้ชาวดัตช์หลายพันครอบครัวต้องประสบภาวะล้มละลายหรือครอบครัวแตกแยก
รุตเตอเปิดเผยว่า ตนได้ทูลเกล้าฯ หนังสือลาออกของคณะรัฐมตรีต่อสมเด็จพระราชาธิบดี วิลเลม-อเล็กซานเดอร์ แล้ว
การตัดสินใจลาออกของรัฐบาลครั้งนี้เป็นมติเอกฉันท์ในการประชุมคณะรัฐมนตรีที่เฮก และมีขึ้นในช่วงเวลาสำคัญของสถานการณ์โควิด-19 โดยเนเธอร์แลนด์อยู่ในช่วงล็อกดาวน์ และรัฐบาลพิจารณาใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้นเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัส
ทั้งนี้รัฐบาลจะยังคงทำหน้าที่รักษาการต่อไปเพื่อแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 จนกว่าจะมีการเลือกตั้งในเดือนมีนาคมนี้ ยกเว้นรัฐมนตรีเศรษฐกิจ เอริก วีเบส ที่ยุติบทบาทหน้าที่ในทันที เนื่องจากมีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีอื้อฉาวนี้อย่างมาก
รุตเตอกล่าวกับผู้สื่อข่าว “ประชาชนผู้บริสุทธิ์ถูกใส่ความว่าทำผิดกฎหมาย และชีวิตของพวกเขาถูกทำลาย” ซึ่งคณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่ผิดพลาดนี้
การลาออกครั้งนี้มีขึ้นหลังจากที่มีการไต่สวนกรณีที่เจ้าหน้าที่สรรพากรทำงานผิดพลาด โดยกล่าวหาครอบครัวดัตช์นับหมื่นครอบครัวว่าโกงเงินสวัสดิการเด็ก พ่อแม่หลายคนถูกตราหน้าว่าเป็นคนโกงเพียงเพราะความผิดลหุโทษ เช่น ลืมเซ็นเอกสาร และถูกบีบบังคับให้ต้องจ่ายเงินคืนรัฐนับหมื่นยูโร ส่งผลให้หลายครอบครัวต้องตกอยู่ในสภาวะล้มละลาย ครอบครัวแตกร้าวอันเนื่องมาจากแรงกดดันรอบด้าน บรรดาแม่ๆ กล่าวทั้งน้ำตาว่านอกจากกลัดกลุ้มเรื่องการเงินแล้ว พวกเธอยังตรอมใจจนสภาพจิตย่ำแย่หลังกลายเป็นเป้าของเจ้าหน้าที่สรรพากร โดยกลไกของรัฐที่กลายเป็น ‘ศัตรูของประชาชน’
รายงานระบุว่า ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ส่วนใหญ่มีภูมิหลังเป็นผู้อพยพ โดยในปีที่แล้วเจ้าหน้าที่สรรพากรยอมรับว่าประชาชน 11,000 คนถูกตรวจสอบละเอียดเป็นพิเศษเพียงเพราะถือสองสัญชาติ ซึ่งการสารภาพนี้เป็นการตอกย้ำความเชื่อเป็นวงกว้างในหมู่ชนกลุ่มน้อยในเนเธอร์แลนด์ว่า การที่พวกเขาถูกเลือกปฏิบัตินั้นเป็นการกระทำที่เป็นระบบและฝังรากลึกโดยกลุ่มผู้มีอำนาจ
สำหรับเหตุอื้อฉาวดังกล่าวเร่ิมต้นขึ้นตั้งแต่ปี 2012 และจำนวนผู้ปกครองที่ได้รับความเสียหายอาจสูงถึง 26,000 คน โดยบางรายออกมาเรียกร้องรัฐบาลให้ลาออก เนื่องจากพวกเขาไม่เชื่อว่ารัฐบาลจะสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้
ผู้เสียหายหลายรายจากเหตุการณ์อื้อฉาวนี้ได้ยื่นคำร้องอย่างเป็นทางการให้เอาผิดรัฐมนตรีชุดปัจจุบันและอดีตรัฐมนตรีหลายคนแล้ว โดยถึงแม้เงินชดเชยอย่างน้อย 30,000 ยูโรจะถูกจ่ายให้แก่ผู้ปกครองที่ได้รับความเสียหาย แต่หลายคนบอกว่าเงินจำนวนดังกล่าวยังไม่เพียงพอ
แม่รายหนึ่งเผยว่า เธอถูกเรียกเก็บภาษีสูงถึง 48,000 ยูโร โดยเธอพยายามอธิบายกับทางการว่าความผิดพลาดดังกล่าวเกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐ แต่กลับถูกเจ้าหน้าที่ระงับการจ่ายเงินอุดหนุน ไม่เฉพาะค่าเลี้ยงดูเด็กเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงสวัสดิการอื่นๆ ด้วย นอกจากนี้เธอยังกลายเป็นคนตกงานและไม่สามารถหางานใหม่ได้ เพราะถูกมองว่าเป็นคนโกง และท้ายที่สุดท้ายครอบครัวต้องแตกแยกเพราะแรงกดดันรอบด้าน
“มีคนในคณะรัฐมตรีปล่อยให้เรื่องนี้เกิดขึ้น ปล่อยให้มันดำเนินต่อไปเรื่อยๆ และท้ายที่สุดแล้วก็ต้องการปกปิดความผิด” ผู้ปกครองรายหนึ่งกล่าวกับ RTL Nieuws
ก่อนหน้านี้นายกฯ รุตเตอคัดค้านการลาออกของคณะรัฐมนตรี แต่ท้ายที่สุดแล้วมันกลับหลีกเลี่ยงไม่ได้ เมื่อ ลอดวิจ์ก แอสเชอร์ ผู้นำพรรคแรงงาน ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้าน ประกาศลาออกในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา (14 มกราคม) เพื่อรับผิดชอบเหตุอื้อฉาว โดยแอสเชอร์เคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกิจการสังคมในรัฐบาลผสมชุดก่อนของรุตเตอ
โดยก่อนที่รัฐบาลจะตัดสินใจลาออก ซิกริด แคก หัวหน้าพรรค D66 กล่าวว่า เป็นเรื่องสำคัญที่ฝ่ายการเมืองจะต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบในเรื่องนี้
ทั้งนี้แม้ตัดสินใจลาออกเพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อความล้มเหลวของรัฐบาล แต่ความเคลื่อนไหวดังกล่าวก็ถูกมองว่าเป็นการเอาตัวรอดเพื่อหลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะถูกลงมติไม่ไว้วางใจในสัปดาห์หน้า
อย่างไรก็ดี พรรค VVD ของรุตเตอยังคงได้รับความนิยมในโพลสำรวจความคิดเห็นประชาชน ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่ในการเลือกตั้งวันที่ 17 มีนาคมนี้ อาจได้เห็นรัฐบาลภายใต้การนำของนายกฯ รุตเตออีกครั้ง โดยเขาเป็นหัวหน้ารัฐบาลมาแล้ว 3 ชุดตั้งแต่ปี 2010 โดยปัจจุบันนายกฯ รุตเตอเป็นผู้นำรัฐบาลผสม 4 พรรคการเมือง และพรรคของเขามีคะแนนนำในโพลสำรวจความคิดเห็นล่าสุด
ต่อข้อคำถามที่ว่า การลาออกของคณะรัฐมนตรีในครั้งนี้เป็นเพียงแค่การแสดงสัญลักษณ์หรือไม่ รุตเตอยืนกรานว่าไม่ใช่
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่รัฐบาลดัตช์ลาออกทั้งคณะเพื่อแสดงความรับผิดชอบร่วมกัน โดยก่อนหน้านี้เมื่อปี 2002 คณะรัฐมนตรีประกาศลาออกหลังจากที่ถูกวิจารณ์อย่างหนักจากกรณีที่ไม่สามารถป้องกันเหตุสังหารหมู่ของชาวมุสลิมในช่วงสงครามบอสเนียเมื่อ 7 ปีก่อนหน้านั้นได้
ภาพ: Bernd von Jutrczenka / POOL / AFP
พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า
อ้างอิง:
