เรียกว่าทั้งดุ เด็ด เดือด สำหรับ สงคราม ส่งด่วน ซีรีส์ไทยเรื่องใหม่ทาง Netflix ผลงานกำกับซีรีส์เรื่องแรกของ ไก่-ณฐพล บุญประกอบ ผู้เคยผ่านผลงานภาพยนตร์สารคดีอย่าง 2,215 เชื่อ บ้า กล้า ก้าว และ เอหิปัสสิโก (Come and See) โดยได้แรงบันดาลใจจากสตาร์ทอัพยูนิคอร์นตัวแรกของไทย ความน่าสนใจก็คือการเอาส่วนหนึ่งของชีวิตจริง มาผสมดราม่าธุรกิจ ชิงไหวชิงพริบ ออกมาได้เร้าอารมณ์และสร้างแรงบันดาลใจแบบที่ไม่ค่อยได้เห็นในซีรีส์ไทยสักเท่าไร
สงคราม ส่งด่วน คือเรื่องราวของ สันติ (ไอซ์ซึ-ณัฐรัตน์ นพรัตยาภรณ์) เด็กหนุ่มจากดอยวาวี ผู้พกความฝันที่จะหนีความยากจน เขาตั้งคำถามกับสิ่งรอบตัวอยู่เสมอ ทั้งการที่คนจนต้องซื้อของราคาสูงกว่าคนรวย การส่งต่อความรักผ่านธุรกรรมแบบเหมาจ่ายที่ดูไม่ค่อยเป็นธรรม นำมาสู่คำตอบคือปัญหาเรื่องการขนส่งที่มีราคาสูงเกินไป
ด้วยความสามารถในการใช้ภาษาจีนที่ได้เรียนรู้จากแม่ทำให้สันติได้เข้าไปคลุกคลีอยู่ในแวดวงนักธุรกิจจีน และพบว่าค่าขนส่งในจีนถูกกว่าไทยครึ่งหนึ่ง จนเกิดเป็นไอเดียธุรกิจที่เจ้าสัวคณิน (เอก-ธเนศ วรากุลนุเคราะห์) แห่งคณินกรุ๊ปสนใจจนชวนมาสานฝันร่วมกัน แต่ในแวดวงธุรกิจไม่มีคำว่าง่ายในที่สุดมิตรก็กลายเป็นศัตรู
สันติหันมาก่อตั้งธันเดอร์ เอ็กซ์เพรส ธุรกิจส่งด่วนร่วมกับ เสี่ยวหยู (เจนเย่ จีรนรภัทร) นักการเงินผู้เฉียบคม และ รุ่ยเจี๋ย (ดร.พลัง โลกศิลป์) โปรแกรมเมอร์อัจฉริยะ เพื่อต้องการเอาชนะ คณินกรุ๊ป ซึ่งตอนนี้ผลักดัน เคน (พีช-พชร จิราธิวัฒน์) ลูกชายเจ้าสัวคณิน CEO บริษัทขนส่งร่วมทุนยักษ์ใหญ่ กลายเป็นการชิงไหวชิงพริบน่าติดตามตลอดทั้ง 7 อีพี
ความน่าสนใจแรกของ สงคราม ส่งด่วน คือการนำเอาส่วนหนึ่งของชีวิตจริงมาใช้จึงสะท้อนภาพปัญหาจริงๆ ที่คนอาจมองข้ามไป เช่นเรื่องคนจนซื้อของแพงกว่าคนรวยอย่างในเรื่องนี้คือต้นทุนด้านการขนส่ง หรือเอาเข้าจริงการซื้อทีละน้อยชิ้นก็คือราคาที่สูงกว่าและเสียภาษีมูลค่าเพิ่มถี่กว่าคนมีเงินซื้อของทีละมากๆ ทั้งหมดทั้งมวลเหล่านี้สร้างแรงผลักดันให้เด็กวัยรุ่นจนๆ อย่างสันติ ต้องดิ้นรนไปสู่ชีวิตที่ดีกว่า
ต้องยอมรับว่าชีวิตของคนต้นเรื่องน่าสนใจจนแทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นไปได้ ทำให้ชีวิตของตัวละคร ‘สันติ’ ออกมามีสีสันจนถึงขั้นแฟนตาซีแต่ก็อิงจากประสบการณ์จริงๆ เช่นเปิดโลกธุรกิจโดยเฉพาะการทำมาค้าขายกับคนจีนยุคใหม่ซึ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัวผ่านเรื่องเฮฮาปาร์ตี้ อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้ลดเขี้ยวเล็บทางธุรกิจจนมีเรื่องเซอร์ไพรส์แบบเจ็บจี๊ดในหลายๆ ฉาก หลายๆ ตอน
อีกส่วนคือการสร้างบุคลิกตัวละครอย่าง ‘สันติ’ ที่มีทั้งความมุทะลุ ดุดัน กล้าได้กล้าเสียแบบไม่สนใจตรรกะใดๆ แต่ดันเหมาะกับธุรกิจที่ต้องอาศัยความว่องไวและการแข่งขันสูง กลายเป็นฉากแอ็กชันมันๆ สอดแทรกเนื้อหาหนักๆ ในแวดวงธุรกิจ โดยจะขาดคู่ปรับที่คู่ควรไปไม่ได้นั่นคือ เจ้าสัวคณิน
ในมุมหนึ่งเขาคือนักธุรกิจรุ่นใหญ่ที่มีมุมมองมีวิสัยทัศน์ เก่งเรื่องจิตวิทยาและมีความโหดร้าย สามารถวางหมากให้คู่ต่อสู้ทำลายตัวเองได้แค่รู้จุดอ่อน แต่ทั้งคำพูดและการกระทำกลับสอนทั้งสันติ และคนดู แบบถึงจะเลวในแง่ความสัมพันธ์ส่วนตัว แต่ในมุมธุรกิจก็มีหลายส่วนที่ควรจะเป็น เรียกได้ว่าเขาคือเมนเทอร์เขี้ยวๆ สอนมวยนักธุรกิจรุ่นลูกแบบไม่ยั้งมือ
การต่อสู้ครั้งนี้ยิ่งเดือดเพราะหลังชนฝาทั้งคู่อย่างตัวสันติก็มีความคลั่งแค้นเพราะถูกหักหลังจนต้องเทหมดหน้าตัก ส่วนเจ้าสัวคณินก็คือเจ้าของธุรกิจขาลงจึงต้องหาหนทางใหม่ๆ ปูทางให้กับทายาท ที่สำคัญพวกเขาเหมือนเงาของกันและกัน ทั้งที่มาที่ไป บุคลิกบางอย่าง ต่างกันก็แค่เจเนอเรชัน จนคิดได้ว่าโลกของธุรกิจทำให้เรากลายเป็นคนที่เกลียดได้ และมองเห็นตัวเองในอนาคตผ่านศัตรูที่อยู่ตรงหน้าเรานี่เอง
แม้ สงคราม ส่งด่วน จะเข้มข้นด้วยการต่อสู้ทางธุรกิจ แต่ก็มีเลิฟไลน์บางๆ ผ่านความสัมพันธ์ระหว่างสันติกับเสี่ยวหยู ตัวละครหญิงเด่นเพียงหนึ่งเดียวของเรื่องที่ไม่จม ไม่หาย และดูมีเหตุมีผลที่สุดในกลุ่มธันเดอร์ เอ็กซ์เพรส รวมทั้งตัวละคร รุ่ยเจี๋ยที่มาสร้างสีสันจากบุคลิกการ์ตูนๆ เหมือนคาแรกเตอร์ที่เราได้เห็นบ่อยๆ ในซีรีส์จีนและฮ่องกง
นอกจากการวางคาแรกเตอร์ที่ลงตัว สิ่งที่น่าชื่นชมคือการวางตัวนักแสดงที่เหมาะสม ทั้งเจนเย่ จีรนรภัทร ที่เป็นลูกครึ่งไทย-ไต้หวันอยู่แล้ว และดร.พลังที่เคยออกรายการ Survival ในจีนมาแล้ว ทำให้ซีรีส์ที่ใช้ภาษาจีนเกินครึ่งเรื่องมีความลื่นไหล และที่เซอร์ไพรส์คือไอซ์ซึที่ใช้ภาษาจีนได้ดีแบบไม่ใช่แค่พูดได้แต่ต้องพูดเก่งเหมือนใช้ในชีวิตประจำวัน จนไม่น่าเชื่อว่านี่คือฝึกจากการท่องจำ ยังไม่นับรวมความทุ่มเททั้งการลดน้ำหนัก การเปลี่ยนสีผิวและฟัน เพื่อให้เป็นสันติได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แม้ภาพรวมจะออกมาดูดี แต่ก็มีบางช่วงของซีรีส์ที่ดูยืดย้วยไปบ้างอย่างเช่นการแวะเข้าเรื่องความสัมพันธ์แบบรักสามเส้า และการมีอยู่ของบางมุกที่ไม่จำเป็น รวมถึงช่วงกลางเรื่องที่ทุกอย่าง Too good to be true ซึ่งก็พอเข้าใจได้ตั้งใจให้ทุกอย่างดูสงบก่อนพายุลูกใหญ่จะโหมเข้าใส่ในช่วงท้ายของเรื่อง อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้ทำให้อรรถรสของซีรีส์เสียไป โดยเฉพาะประเด็นใหญ่ๆ เรื่องแง่มุมธุรกิจที่สร้างแรงบันดาลใจได้ดีเท่าๆ กับซีรีส์เกาหลียอดฮิตอย่าง Itaewon class หรือ Start-Up เลยทีเดียว
สงคราม ส่งด่วน ชมได้ทาง Netflix ตั้งแต่วันที่ 29 พฤษภาคมนี้เป็นต้นไป