ช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ธุรกิจ FMCG (Fast Moving Consumer Goods) ก็ได้รับผลกระทบไม่น้อย ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่มรายใหญ่ที่สุดของโลกอย่างเนสท์เล่ (Nestlé) เองก็เช่นกัน ส่วนใหญ่ผลิตภัณฑ์ที่ใช้บริโภคนอกบ้าน เช่น น้ำดื่ม ขนม และไอศกรีม จะได้รับผลกระทบตามสถานการณ์ แต่ในทางกลับกัน ผลิตภัณฑ์ประเภทที่ใช้บริโภคในบ้าน เช่น กาแฟ ซอสปรุงรส และนม กลับเติบโตต่อเนื่องจนถึงตอนนี้
วิคเตอร์ เซียห์ ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า เล่าถึงภาพรวมการทำธุรกิจของเนสท์เล่ในประเทศไทยว่าแม้ผลประกอบการในบางเซกเมนต์จะได้รับผลกระทบ แต่ก็มีบางเซกเมนต์ที่ทำยอดขายได้ดี ส่งผลให้ผลประกอบการโดยรวมเป็นที่น่าพอใจ และทำให้เนสท์เล่มองเห็นสัญญาณการเติบโตของสินค้าบางประเภท โดยคาดว่ารายได้ของเนสท์เล่ในไทยปีนี้จะเติบโตราว 1 digit
วิคเตอร์ เซียห์
ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า
แม้การทำธุรกิจของเนสท์เล่ในช่วงนี้จะเจอกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งพฤติกรรมการซื้อที่เปลี่ยนไป แม้จะจับจ่ายเหมือนเดิม แต่ก็มองหาผลิตภัณฑ์ที่จำเป็นและคุ้มค่ามากขึ้น หากเป็นสินค้าบริโภคก็คำนึงถึงประโยชน์มากขึ้น แม้จะเป็นสินค้าพรีเมียม แต่ถ้าตอบโจทย์ก็ยินดีจ่าย แต่เนสท์เล่ก็ยังเชื่อมั่นในศักยภาพของตลาดประเทศไทยและมองเห็นถึงการเติบโตในระยะยาว จึงเดินหน้าขยายการลงทุน ทุ่มงบกว่า 4.5 พันล้านบาท ขยาย 3 โรงงานหลัก ได้แก่ โรงงานอมตะ โรงงานบางชัน และโรงงานยูเอชที นวนคร 7
‘เรียนรู้เทรนด์ เข้าใจพฤติกรรมลูกค้า’ เปลี่ยนอินไซต์ให้เป็นกลยุทธ์การลงทุน
จากผลการสำรวจไลฟ์สไตล์ผู้บริโภค พบว่าปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงที่โดดเด่น 5 ด้าน ได้แก่
1. เลือกอาหารที่ดีต่อสุขภาพมากขึ้น และมองหาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน
2. ให้รางวัลตัวเองด้วยการมองหาของกินเล่นเพื่อเป็นความสุขเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างวัน
3. ให้ความสำคัญกับความคุ้มค่าของสินค้าจากภาวะเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน
4. ให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนทั้งด้านบรรจุภัณฑ์ที่ต้องรีไซเคิลได้ มีกระบวนการผลิตที่ไม่เป็นพิษต่อโลก ความน่าสนใจคือกลุ่มคนอายุน้อยให้ความสนใจเรื่องนี้มากขึ้น
5. ช่องทาง e-Commerce และบริการเดลิเวอรีอาหารกลายเป็นวิถีชีวิตรูปแบบใหม่ และใช้กันมากขึ้นหลังวิกฤตโควิด-19
เนสท์เล่นำอินไซต์ที่ได้มาต่อยอดการวางกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจด้วยการนำนวัตกรรมเข้ามาขับเคลื่อน เพื่อส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีโภชนาการที่ดี รสชาติอร่อย และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคชาวไทยควบคู่กับการคำนึงถึงความยั่งยืน ซึ่งตรงกับปรัชญาการทำงานของเนสท์เล่ Good Food, Good Life อาหารที่ดีเพื่อสุขภาพที่ดี มุ่งเน้นส่งมอบผลิตภัณฑ์ที่มีโภชนาการที่ดีควบคู่ไปกับความอร่อย เพื่อให้คนไทยมีสุขภาพที่แข็งแรง สอดคล้องเจตนารมณ์ของเนสท์เล่ในการเปิดพลังแห่งอาหารเพื่อเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตที่ดีสำหรับทุกคนในวันนี้และในอนาคต นำไปสู่การลงทุนครั้งใหญ่ในรอบหลายปีเพื่อรองรับความต้องการที่กำลังเติบโต ผลักดันธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มของเนสท์เล่ในไทยให้เติบโตในระยะยาวจากที่อยู่ในตลาดมา 127 ปี
สร้างโรงงานอมตะแห่งใหม่ เร่งเสริมพอร์ต ‘อาหารสัตว์เลี้ยง’ เทรนด์มาแรง
ตัวเลขการเติบโตของกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงขยายตัวอย่างรวดเร็ว แม้ในช่วงโควิด-19 ที่ทุกคนต้องรัดเข็มขัด แต่สำหรับกลุ่มคนรักสัตว์เลี้ยงจะยอมจ่ายแม้ต้องประหยัดค่าใช้จ่ายด้านอื่นก็ตาม ในขณะที่เทรนด์ตลาดโลก คนจำนวนมากหันมาดูแลสัตว์เลี้ยงเหมือนคนในครอบครัว ประชากรสัตว์เลี้ยงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะแมวและสุนัข เจ้าของจึงยอมทุ่มเงินซื้ออาหารสัตว์ระดับพรีเมียม ประเทศไทยก็เช่นกัน ทำให้ตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในไทยเติบโต 9% จากปีที่ผ่านมา ประกอบกับช่วงวิกฤตโควิด-19 ที่ต้องอยู่บ้าน จึงใช้เวลากับสัตว์เลี้ยงมากขึ้น
จากเทรนด์ที่กล่าวมาและแนวโน้มการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพให้กับสัตว์เลี้ยง เนสท์เล่จึงลงทุน 2,550 ล้านบาทสร้างโรงงานแห่งใหม่ในนิคมอมตะนคร มีกำหนดเริ่มเดินสายการผลิตในช่วงกลางปี 2564 เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและเสริมพอร์ตโฟลิโอธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ซึ่งมีแบรนด์ที่ติดตลาดอยู่แล้ว เช่น เพียวริน่า, ฟริสกี้ส์, อัลโป และซูเปอร์โค้ท ฯลฯ
ขยายไลน์การผลิต ‘ไอศกรีม’ ตอบเทรนด์ความสุขเล็กๆ น้อยๆ ด้วยนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์รีไซเคิล 100%
ปัจจุบันสินค้าประเภทไอศกรีมคิดเป็นส่วนแบ่งราว 10% ของเนสท์เล่ ยิ่งได้เห็นเทรนด์ของผู้บริโภคชาวไทยที่ให้รางวัลตัวเองด้วยการมองหาของกินเล่นเพื่อช่วยเติมเต็มความสุขระหว่างวัน เนสท์เล่จึงเลือกลงทุน 440 ล้านบาทเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและสร้างความหลากหลายในธุรกิจไอศกรีม เช่น ไอศกรีมโมจิ ที่นำเทรนด์จากเกาหลีและญี่ปุ่นมาเปิดตลาดในไทยเป็นแบรนด์แรกและได้รับการตอบรับที่ดี หรือไอศกรีมคิทแคทและโอรีโอ ซึ่งกลายเป็นไอศกรีมที่ใครๆ ก็อยากลอง เริ่มเดินสายการผลิตไปแล้วในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา
พร้อมกันนี้ยังริเริ่มนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ไอศกรีม Nestlé Extreme Nama ใน 2 รสชาติ ได้แก่ รส Nama Orange และรส Nama Dark Chocolate Brownies โดยเลือกใช้กระดาษที่ผลิตจากเยื่อกระดาษบริสุทธิ์ 100% ได้รับการรับรองจากองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมอย่าง Forest Stewardship Council (FSC) ว่าใช้วัสดุที่มาจากแหล่งผลิตกระดาษที่สามารถทดแทนได้และมีการบริหารจัดการอย่างยั่งยืน สามารถรีไซเคิลได้ 100% ประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกของโลกและเจ้าแรกในตลาดที่เปิดตัวบรรจุภัณฑ์ซองไอศกรีมที่เป็นกระดาษกับกลุ่มผลิตภัณฑ์
ส่งต่อผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพและบรรจุภัณฑ์ที่ดีต่อโลก เดินหน้าลงทุน 1,530 ล้าน สร้างโรงงานยูเอชทีแห่งใหม่
ผลวิจัยของ Nielson พบว่าเครื่องดื่มยูเอชทีประเภทนมวัวและเครื่องดื่มช็อกโกแลตมอลต์ยูเอชทีจะมีการเติบโต 3% ในอีก 3 ปีข้างหน้า สะท้อนให้เห็นว่าคนไทยกำลังมองหาผลิตภัณฑ์ที่ดีกับสุขภาพและพกพาสะดวก นับว่าเป็นอัตราการเติบโตสูงที่สุดในกลุ่มเครื่องดื่มยูเอชที เนสท์เล่จึงทุ่มงบกว่า 1,530 ล้านสร้างโรงงานยูเอชทีแห่งใหม่ เพิ่มกำลังการผลิตเครื่องดื่มยูเอชที นมตราหมี และไมโล พร้อมชูเทคโนโลยีล้ำสมัย ผลิตหลอดกระดาษแบบงอได้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่มีการนำหลอดกระดาษมาใช้ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ยูเอชทีของไทย ตั้งเป้าลดการใช้หลอดพลาสติกมากกว่า 500 ล้านหลอดในปี 2564
และเพื่อให้สอดคล้องกับพันธกิจด้านความยั่งยืนของเนสท์เล่ที่ต้องการเปลี่ยนบรรจุภัณฑ์สินค้าทุกอย่างให้สามารถรีไซเคิลได้ 100% ภายในปี 2568 โรงงานทั้ง 3 แห่งยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมตั้งแต่กระบวนการผลิต ได้แก่ ลดคาร์บอนฟุตปรินต์ ลดการใช้พลังงานและน้ำ ตลอดจนลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และไม่เหลือขยะหรือของเสียไปที่หลุมฝังกลบ
รุกหนักตลาด ‘e-Commerce’ หลังเติบโตกว่า 100% เกินเป้า 2 เท่า!
เนสท์เล่เริ่มตั้งทีม E-Business ตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปัจจุบันมีทีมงานเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่า มุ่งเน้นการลงทุนด้านระบบและบุคลากรต่อเนื่องเพื่อสร้างเทคโนโลยีด้านการตลาดโฆษณาและระบบการจัดการข้อมูลของบริษัท นำเสนอสินค้า บริการ และพัฒนาการสื่อสารที่ตอบโจทย์กับความต้องการของลูกค้า ก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 ตลาด e-Commerce ของไทยมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 30% แต่ช่วงที่เกิดวิกฤตจนถึงปัจจุบันพบว่าตลาด e-Commerce เติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 100% ส่งผลให้ยอดขายออนไลน์ของเนสท์เล่โตกว่าเป้าที่ตั้งไว้ถึง 2 เท่า นำไปสู่การทุ่มงบลงทุนใน E-Business อีก 50 ล้านบาทเพื่อจัดหาเครื่องมือที่ดีที่สุด รวมทั้งร่วมมือกับพาร์ตเนอร์อย่างเฟซบุ๊กและกูเกิล จัดการอบรมพนักงานเพื่อให้ก้าวทันกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พร้อมลงทุนในการสร้างเทคโนโลยีด้านการตลาดโฆษณาและระบบการจัดการข้อมูล เพื่อทำความเข้าใจความต้องการของลูกค้า จะได้นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์
ทั้งหมดที่กล่าวมาคงพอทำให้เห็นถึงแนวคิดของเจ้าตลาด FMCG อย่างเนสท์เล่ รวมไปถึงการวางยุทธศาสตร์การลงทุนให้ตอบรับการเติบโตของสินค้าที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคยุคใหม่
ท้ายที่สุดเนสท์เล่ยังตอกย้ำอีกว่า การลงทุนครั้งใหญ่นี้เพื่อแสดงถึงความมุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนธุรกิจและสร้างการเติบโตระยะยาวในประเทศไทยนั่นเอง
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์