×

เนปาลหวั่นซ้ำรอยอินเดีย ยอดป่วยโควิด-19 พุ่ง ระบบสาธารณสุขไม่พร้อม ประชาชนไม่ร่วมมือ

โดย THE STANDARD TEAM
07.05.2021
  • LOADING...
เนปาล โควิด-19

จำนวนผู้ติดโควิด-19 กำลังพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็วในเนปาล โดยล่าสุดเนปาลรายงานตัวเลขผู้ป่วยรายวันมากกว่า 8,600 ราย จากเมื่อ 1 เดือนก่อนหน้านี้ที่มีผู้ติดเชื้อเฉลี่ยเพียงวันละ 100 ราย 

 

ตัวเลขผู้ป่วยโควิด-19 รายวันในเนปาลคิดเป็นอัตราส่วนประมาณ 20 คนต่อประชากร 100,000 คน ซึ่งเป็นอัตราเดียวกับที่อินเดียรายงานเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน และนั่นทำให้หลายคนกังวลอย่างมากว่าเนปาลซึ่งมีประชากร 31 ล้านคนจวนเจียนจะเข้าสู่วิกฤตแบบที่กำลังเกิดขึ้นในอินเดียหรืออาจเลวร้ายยิ่งกว่า

 

สหพันธ์สภากาชาดและสภาเสี้ยววงเดือนแดงระหว่างประเทศ (IFRC) เปิดเผยตัวเลขจากรัฐบาลเนปาลว่า จากการตรวจหาเชื้อเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าผลตรวจออกมาเป็นบวกถึง 44% ซึ่งถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนถึงวิกฤตที่กำลังจะเกิดขึ้น

 

“สิ่งที่เกิดขึ้นในอินเดียขณะนี้เป็นภาพตัวอย่างที่น่าหวาดกลัวสำหรับอนาคตของเนปาล หากเราไม่สามารถควบคุมสถานการณ์โควิด-19 รอบล่าสุด ซึ่งคร่าชีวิตผู้คนมากขึ้นภายในนาทีนี้” ดร.เนตรา ปราสาด ทิมซินา ประธานสภากาชาดของเนปาล กล่าวในแถลงการณ์

 

หลายคนโทษว่ายอดผู้ติดเชื้อที่พุ่งสูงในเนปาลนั้นมีสาเหตุมาจากการระบาดระลอกที่สองที่กำลังโหมกระหน่ำประเทศเพื่อนบ้านอย่างอินเดีย

 

ทั้งนี้ชาวเนปาลไม่จำเป็นต้องแสดงหนังสือเดินทางหรือบัตรประจำตัวประชาชนเพื่อเข้าประเทศ และชาวเนปาลจำนวนมากทำธุรกิจในอินเดีย ซึ่งนั่นหมายความว่ามีการเดินทางข้ามพรมแดนกันอยู่เป็นประจำ ขณะที่โฆษกกระทรวงสาธารณสุขและประชากรของเนปาลเปิดเผยด้วยว่า ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ชาวอินเดียบางส่วนได้หลบหนีการระบาดระลอกที่สองในประเทศเข้ามายังเนปาล หรือหลบหนีไปยังประเทศที่สาม 

 

“มันยากมากที่จะหยุดการสัญจรทั้งหมดระหว่างสองประเทศ” ดร.ซาเมียร์ อาทิการี โฆษกกระทรวงสาธารณสุขและประชากรของเนปาล กล่าว

 

ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เนปาลเริ่มคุมเข้มกฎเหล่านั้นมากขึ้น ประทีป กุมาร ชญวาลี รัฐมนตรีต่างประเทศของเนปาล เปิดเผยว่า ขณะนี้พลเมืองเนปาลสามารถเดินทางข้ามจากอินเดียผ่านด่านชายแดนได้เพียง 13 จุดจากทั้งหมด 35 จุด นอกจากนี้ยังมีการตรวจโควิด-19 ที่จุดผ่านแดน ซึ่งหากใครมีผลตรวจออกมาเป็นบวกจะต้องเข้าสถานกักกันหรือโรงพยาบาล 

 

อย่างไรก็ตาม ดร.ซาเมียร์ มานี ดิกซิต นักวิทยาศาสตร์ด้านการวิจัยด้านสาธารณสุขของเนปาลกล่าวว่า มาตรการเหล่านี้มาช้าเกินไป เพราะไวรัสได้แพร่กระจายเข้ามาในประเทศแล้ว

 

ขณะเดียวกันนอกจากการระบาดจากอินเดียแล้ว กิจกรรมสาธารณะขนาดใหญ่ เช่น เทศกาล การชุมนุมทางการเมือง และงานแต่งงาน ประกอบกับการดำเนินการที่ล่าช้าของรัฐบาล ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้สถานการณ์การแพร่ระบาดในเนปาลเลวร้ายลงเช่นกัน

 

“สถานการณ์เลวร้ายลงทุกวัน และอาจควบคุมไม่ได้ในอนาคต” โฆษกกระทรวงสาธารณสุขกล่าวเมื่อวันจันทร์

 

วิกฤตของเนปาลเริ่มปรากฏเค้าลางในช่วงต้นเดือนเมษายน เมื่อชาวเนปาลรวมตัวกันในงานเทศกาลทางศาสนาทั้งที่จัดขึ้นในประเทศ และที่ข้ามพรมแดนไปยังอินเดียเพื่อร่วมพิธีอาบน้ำในแม่น้ำคงคา หรือเทศกาลกุมภเมลา ซึ่งเป็นหนึ่งในการชุมนุมทางศาสนาที่ใหญ่ที่สุดในโลก

 

ในช่วงเวลาใกล้ๆ กัน ชาวเนปาลหลายพันคนยังได้รวมตัวกันในเมืองหลวงเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลสำคัญทางศาสนา Pahan Charhe และที่เมืองใกล้เคียงอย่าง บักตาปูร์ เพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ของชาวเนปาล Bisket Jatra แม้ว่าทางการจะสั่งห้าม แต่ประชาชนก็ไม่ปฏิบัติตาม โดยปรากฏป้ายประกาศฉบับหนึ่งระบุว่า “เรารักและเทิดทูนเทศกาลนี้ยิ่งกว่าชีวิตของเรา”

 

ขณะเดียวกันการรับมือกับโควิด-19 ของรัฐบาลสร้างความไม่พอใจให้กับประชาชน ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า แม้ไม่อาจหลีกเลี่ยงการระบาดระลอกที่สองได้ แต่รัฐบาลก็ควรจะทำอะไรมากกว่านี้เพื่อควบคุมสถานการณ์

 

สุเรนทรา ลาบห์ นักวิเคราะห์การเมือง กล่าวว่า เป็นเรื่องไม่เหมาะสมที่ปล่อยให้เทศกาลต่างๆ ดำเนินต่อไป และกล่าวว่ากิจกรรมเหล่านี้ รวมไปถึงพิธีแต่งงาน ทำให้สถานการณ์การระบาดในประเทศแย่ลง

 

“ผมคิดว่ารัฐบาลจัดการกับสถานการณ์การระบาดได้ไม่ดี… รัฐบาลให้ความสำคัญกับการเมืองมากกว่า” เขากล่าว

 

ขณะที่ สุเรช พันที ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งสถาบันการศึกษาและวิจัยอย่างยั่งยืนในเนปาล กล่าวว่า ในขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อบริเวณพรมแดนเพิ่มมากขึ้น เนปาลควรเตรียมระบบกักตัวไว้รองรับพลเมืองที่เดินทางกลับเข้ามาในประเทศ “เรามีเวลามากพอ แต่เรากลับไม่เตรียมพร้อม” 

 

ด้านนายกรัฐมนตรีขัทคะ ปราสาท ศรรมะ โอลี ของเนปาล กล่าวเมื่อวันจันทร์ว่า ไวรัสแพร่ระบาดในเนปาล แม้รัฐบาลพยายามควบคุมอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม

 

“เนื่องจากเราอาศัยอยู่ในโลกที่เชื่อมต่อและเชื่อมโยงถึงกัน โรคระบาดเช่นนี้จึงไม่ละเว้นใครและไม่มีใครปลอดภัย” เขากล่าว

 

ก่อนหน้านี้นายกรัฐมนตรีเนปาลได้เคยเสนอแนวทางการรักษาโควิด-19 ที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ โดยโอลีกล่าวว่าอาการป่วยสามารถรักษาได้โดยการกลั้วคอด้วยใบฝรั่ง หลังจากที่เขาเคยกล่าวเมื่อปีที่แล้วว่าชาวเนปาลมีระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงกว่าคนชาติอื่น เพราะมีการรับประทานเครื่องเทศทุกวัน

 

โดยถึงแม้ว่าเนปาลจะกระชับพรมแดนและประกาศล็อกดาวน์ในภูมิภาคที่ได้รับผลกระทบหนักที่สุด ซึ่งรวมถึงกาฐมาณฑุ เมืองหลวง แต่หลายคนยังกลัวว่ามาตรการเหล่านี้อาจไม่เพียงพอที่จะควบคุมเชื้อไวรัสที่กำลังแพร่กระจายไปทั่วเมืองหลวง และไปไกลถึง Everest Base Camp

 

สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ เนปาลมีระบบสาธารณสุขที่เปราะบาง โดยมีแพทย์ต่อจำนวนประชากรน้อยกว่าอินเดีย และมีอัตราการฉีดวัคซีนต่ำกว่าประเทศเพื่อนบ้าน 

 

ตามแผนรับมือโควิด-19 ของรัฐบาลเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว เนปาลมีเตียงผู้ป่วยหนักเพียง 1,595 เตียง และเครื่องช่วยหายใจ 480 เครื่องสำหรับประชากรประมาณ 30 ล้านคน 

 

นอกจากนี้เนปาลยังมีปัญหาการขาดแคลนแพทย์ โดยมีแพทย์เพียง 0.7 คนต่อประชากร 100,000 คน ตามข้อมูลของธนาคารโลก ซึ่งน้อยกว่าของอินเดียซึ่งอยู่ที่ 0.9 ขณะที่มีรายงานว่าเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ลางานระยะยาวกำลังถูกเรียกตัวกลับเพื่อมาช่วยกันรับมือวิกฤต และกองทัพเนปาลสั่งให้บุคลากรทางการแพทย์ที่เกษียณอายุเตรียมพร้อม

 

ทั้งนี้เนปาลเริ่มที่จะขยับตัวเพื่อจัดการกับสถานการณ์การแพร่ระบาด โดยสัปดาห์ที่แล้วมีการสั่งซื้อถังออกซิเจน 20,000 ถังจากต่างประเทศ เนื่องจากความต้องการออกซิเจนทางการแพทย์เพิ่มขึ้นสามเท่า ขณะที่ในวันอังคารที่ผ่านมากองทัพเนปาลได้เริ่มขยายสถานพยาบาลในพื้นที่ชายแดนติดกับอินเดีย เพื่อรองรับแรงงานชาวเนปาลจำนวนมากที่เดินทางกลับบ้าน

 

นอกจากนี้เนปาลยังได้สั่งห้ามเที่ยวบินระหว่างประเทศทั้งหมดตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม อีกทั้งมีการออกมาตรการจำกัดการชุมนุมหรือรวมตัวใน 46 เขต จาก 77 เขต และเมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ทางการยังได้ประกาศให้มีการล็อกดาวน์ในกาฐมาณฑุเป็นเวลา 2 สัปดาห์ 

 

แต่ก่อนหน้าที่มาตรการดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ แรงงานข้ามชาติบางส่วนได้เดินทางกลับบ้าน ซึ่งหมู่บ้านในชนบทมีผู้สูงอายุจำนวนมากและมีระบบสาธารณสุขที่จำกัด จึงทำให้เกิดความวิตกว่าแรงงานกลุ่มนี้อาจแพร่เชื้อไวรัสไปยังพื้นที่ห่างไกล 

 

ด้านโฆษกกระทรวงสาธารณสุขเชื่อว่ายังเร็วเกินไปที่จะบอกได้ว่าการเคลื่อนย้ายก่อนการล็อกดาวน์ จะทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อกลับมาเพิ่มสูงขึ้นอีกครั้งหรือไม่

 

ขณะเดียวกันอีกปัญหาที่น่ากังวลในช่วงเวลาที่กำลังจะมาถึงคือเทศกาลเฉลิมฉลองต่างๆ ที่รอจ่อคิว อาทิ เทศกาล Rato Macchidranath ซึ่งจะจัดขึ้นที่กาฐมาณฑุในปลายเดือนนี้ แม้ว่าผู้จัดงานประกาศว่าจะใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมและการบังคับสวมหน้ากากอนามัยก็ตาม

 

ดังนั้นจึงต้องจับตาอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งจะเป็นช่วงเวลาที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับการควบคุมการระบาดของเนปาล

 

“ภายในไม่กี่สัปดาห์ สถานการณ์ของเราจะเลวร้าย แต่เรากำลังพยายามอย่างเต็มที่” เขากล่าว

 

เจ้าหน้าที่รายหนึ่งจากกระทรวงสาธารณสุขคาดการณ์ว่า ประชาชนอาจไม่ปฏิบัติตามคำสั่งเคอร์ฟิวและการล็อกดาวน์ เนื่องจากการเฉลิมฉลอง

 

“เทศกาลต่างๆ กำลังจะมาถึง แต่รัฐบาลไม่อยู่ในเงื่อนไขที่จะพูดอะไร” เขากล่าว พร้อมกับเสริมว่าสถานการณ์ตอนนี้อยู่ในมือของชาวเนปาลแล้ว

 

ภาพ: Rojan Shrestha / NurPhoto via Getty Images

พิสูจน์อักษร: พรนภัส ชำนาญค้า

อ้างอิง:

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X