×

นีโอ คอร์ปอเรท โตสวนตลาด FMCG แม้ไม่เล่นสงครามราคา พร้อมเตรียมช่วยเหลือคู่ค้าภาคใต้ฝ่าวิกฤตน้ำท่วม

27.11.2025
  • LOADING...
นีโอ คอร์ปอเรท โตสวนตลาด FMCG แม้ไม่เล่นสงครามราคา พร้อมเตรียมช่วยเหลือคู่ค้าภาคใต้ฝ่าวิกฤตน้ำท่วม

ท่ามกลางสมรภูมิ FMCG ไทยที่เต็มไปด้วยผู้เล่นระดับโลกและมีการแข่งขันรุนแรงขึ้นทุกปี โดยเฉพาะบนชั้นวางสินค้าที่เต็มไปด้วยการอัดโปรโมชันซื้อ 1 แถม 1 แต่ ‘นีโอ คอร์ปอเรท’ ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตและจำหน่ายสินค้าสัญชาติไทย ยืนยันว่าจะไม่ลงไปเล่นสงครามราคา แต่จะนำนวัตกรรมเข้าสู้ หลังภาพรวมธุรกิจเติบโตสูงถึง 9.1% สวนทางตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคในปีนี้ที่เติบโตเล็กน้อยอยู่ที่ 3.6%

 

ปัทมา ถกลศรี รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการพาณิชย์ บริษัท นีโอ คอร์ปอเรท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บนเส้นทางธุรกิจกว่า 30 ปีที่เข้ามาแข่งขันในตลาด FMCG ไทยซึ่งเต็มไปด้วยผู้เล่นข้ามชาติรายใหญ่ แต่ที่ผ่านมาธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง จากกลยุทธ์การพัฒนาสินค้าด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ และขยายสินค้าเซกเมนต์ใหม่เข้ามาเป็นทางเลือกให้ผู้บริโภคซึ่งกลยุทธ์เหล่านี้ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันได้ระยะยาว

 

แม้ปัจจุบันกำลังซื้อในตลาดโดยรวมจะอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่ภาพรวมการเติบโตของบริษัทกลับเติบโตสวนทางตลาดอย่างโดดเด่น โดยเฉพาะตลาดผลิตภัณฑ์ซักผ้าชนิดน้ำ ที่โต 12.9% แต่ แบรนด์ดีนี่ ไฟไลน์ เติบโตถึง 15.7% ขณะที่ตลาดครีมอาบน้ำ โตเพียง 2% แต่ กลุ่มแบรนด์ของนีโอเติบโต 6% และตลาดโรลออนที่หดตัว -6.9% แต่แบรนด์ EVERSENSE ในกลุ่มพรีเมียมเติบโตสวนกระแสถึง 17%

 

การเติบโตดังกล่าวเกิดจากการนำเสนอนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ผู้บริโภค รวมถึงสร้างเซกเมนต์ใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่มทางเลือกให้ตลาด ขณะเดียวกันผู้บริโภคก็เริ่มเปิดรับสินค้าคุณภาพสูงแม้จะมีราคาที่สูงขึ้น ซึ่งช่วยลดแรงกดดันการแข่งขันได้ดี โดยปัจจุบันบริษัทมีสินค้าใน 4 กลุ่มหลัก ได้แก่ Household, Personal Care, Baby & Kids และ Pet Care ซึ่งเป็นเซกเมนต์ใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เพื่อรองรับเทรนด์การเลี้ยงสัตว์ที่เติบโตเพิ่มขึ้น

 

อีกหนึ่งในจุดแข็งสำคัญที่ทำให้บริษัทโตสวนทางตลาด คือ การสร้างจุดขายให้ทั้ง 9 แบรนด์ มีความชัดเจนและเน้นให้เจาะกลุ่มผู้บริโภคที่แตกต่างกัน โดยใช้ข้อมูลเชิงลึกจากผู้บริโภคเข้ามาเป็นฐานพัฒนาผลิตภัณฑ์ และมีทีม R&D มากกว่า 90 คนที่มีบทบาทในการคิดค้นสูตรใหม่ รวมถึงนวัตกรรมที่ตอบโจทย์การใช้งานจริง

 

สำหรับทิศทางต่อจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ Segment Creator ที่เป็นหัวใจหลักในการผลักดันให้บริษัทเติบโตท่ามกลางตลาดที่มีการแข่งขันสูง พร้อมประเมินว่าเทรนด์สินค้าอุปโภคบริโภคในปี 2569 จะถูกขับเคลื่อนโดยเมกะเทรนด์สำคัญ 4 เรื่อง ได้แก่

 

1. สังคมผู้สูงอายุ ปัจจุบันไทยเป็นประเทศสูงวัยอันดับ 3 ของเอเชีย และคาดว่าในปี 2030 สัดส่วนผู้สูงอายุจะเพิ่มถึง 30% ทำให้สินค้าที่เกี่ยวกับผู้สูงอายุมีความต้องการมากขึ้นในตลาด ซึ่งเป็นโอกาสให้ธุรกิจทั้งรายเล็กและรายใหญ่

 

2. ผู้บริโภคพร้อมจ่ายเพื่อสินค้าที่มีคุณภาพ ในสัดส่วน 33% ของผู้บริโภคยอมจ่ายเพิ่มเพื่อสินค้าที่แก้ปัญหาได้จริง โดยเฉพาะหมวดสกินแคร์ที่ได้รับอิทธิพลจาก K-Beauty

 

3. ความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อม วันนี้คนรุ่นใหม่หันมาสนับสนุนแบรนด์ที่มุ่งมั่นด้านความยั่งยืน ถ้าแบรนด์ไหนที่ไม่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อาจสูญเสียฐานลูกค้าไป

 

4. Pet Economy เติบโตแรง หลังจากไทยเป็นประเทศที่มีอัตราการเกิดต่ำติดอันดับโลก ทำให้สัตว์เลี้ยงถูกยกเป็นสมาชิกครอบครัว ส่งผลให้หมวดสินค้าเพ็ตแคร์เติบโตสูง บริษัทจึงเปิดตัวแบรนด์ Lovli Tails ครอบคลุมสินค้า 8 รายการ เช่น น้ำยาซักผ้าสัตว์เลี้ยงและสเปรย์บำรุงขน เข้ามาตอบโจทย์ ซึ่งตั้งเป้าสร้างยอดขายให้ได้ 100 ล้านบาทภายใน 1 ปี

 

ทั้งนี้ จากการวิเคราะห์เมกะเทรนด์ ในปี 2569 บริษัทเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในหลายเซกเมนต์ โดยเฉพาะสินค้าหมวดพรีเมียม โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนสินค้าพรีเมียมให้ได้ 10% ภายในปีหน้า แม้สินค้าพรีเมียมจะอยู่ในกลุ่มราคาสูง แต่ด้วยคุณภาพและนวัตกรรมทำให้ลูกค้าพร้อมที่จะจ่าย ควบคู่กับการทำแคมเปญสื่อสารการตลาดผ่านพรีเซนเตอร์ที่เหมาะสมกับสินค้าในแต่ละกลุ่ม

 

ปัทมาอธิบายว่า ปัจจุบันการใช้พรีเซนเตอร์มีบทบาทสำคัญมากกว่ายุคที่สื่อกระจุกตัวอยู่เพียงไม่กี่ช่องทีวี เพราะพฤติกรรมการเสพสื่อกระจัดกระจายบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ทำให้การเลือกพรีเซนเตอร์ที่เหมาะสมจะช่วยเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ได้ดี แต่ในบางกรณีแบรนด์ที่ไม่มีพรีเซนเตอร์ก็ยังสามารถทำยอดขายได้ไม่ต่างกัน ซึ่งอยู่กับหมวดของสินค้าเป็นหลัก

 

อย่างไรก็ตาม ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา แม้ภาพรวมจะโตขึ้น แต่ต้นทุนสินค้ายังปรับตัวสูงขึ้นตามภาวะตลาด บริษัทต้องบริหารต้นทุนอย่างรอบคอบ พร้อมปรับเป้ารายได้ในอีก 5 ปีจากตัวเลขสองหลัก ลดลงเหลือตัวเลขหลักเดียว เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว

 

ส่วนแนวโน้มปี 2569 มองว่าขึ้นอยู่กับกำลังซื้อและนโยบายภาครัฐ หากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเดินหน้าต่อ จะช่วยให้ภาพรวมฟื้นตัวดีขึ้น โดยเห็นได้ชัดเจนจากโครงการ คนละครึ่งพลัส แม้ไม่ได้ใช้กับห้างใหญ่ แต่ได้สร้างเม็ดเงินหมุนเวียนเข้าสู่ระบบจำนวนมาก และส่งผลบวกต่อบรรยากาศการใช้จ่ายโดยรวมคึกคักมากกว่าเดิม

 

นอกจากนี้ บริษัทยังมีนโยบายดูแลคู่ค้าในจังหวัดภาคใต้ ที่กำลังเผชิญสถานการณ์น้ำท่วมหนัก โดยมีทีม PC ที่ประจำแต่ละจังหวัดช่วยประสานงานและสนับสนุนร้านค้าในการฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ รวมถึงร่วมทำความสะอาดร้านค้าเพื่อให้กลับมาดำเนินการได้เร็วที่สุด

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising