วันนี้ (29 ตุลาคม) ที่ ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ครั้งที่ 32/2568ไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการ รักษาการแทนเลขาธิการ กสทช. เปิดเผยภายหลังการประชุม ว่า ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบมาตรการเพิ่มเติมเพื่อป้องกันอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ตามพระราชกำหนดมาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ. 2566 และที่แก้ไขเพิ่มเติม เพื่อตัดช่องทางไม่ให้มิจฉาชีพใช้โครงข่ายและทรัพยากรของไทยในการก่ออาชญากรรมข้ามชาติ
มาตรการบังคับใช้กับผู้รับใบอนุญาตโทรคมนาคม มีรายละเอียดดังนี้:
1. ห้ามนำ IP Address ไทย ไปใช้ในต่างประเทศ
- มาตรการ: ผู้รับใบอนุญาตที่ให้บริการโทรคมนาคมระหว่างประเทศ ต้องไม่นำหมายเลข IP Address ซึ่งจดทะเบียนในประเทศไทยไปให้บริการในต่างประเทศ
- ข้อยกเว้น: มาตรการนี้ ไม่รวมถึง หมายเลข IP Address ของอุปกรณ์สำหรับให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ของผู้รับใบอนุญาต
- การบังคับใช้: มาตรการนี้จะถูกกำหนดเป็น เงื่อนไขการอนุญาตเพิ่มเติมเฉพาะรายบริการ ของผู้ให้บริการโทรคมนาคมระหว่างประเทศ
2. บังคับเก็บรักษาข้อมูลผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ 180 วัน
- ระหว่างใช้บริการ: ผู้รับใบอนุญาตประกอบกิจการโทรคมนาคมที่ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่มีหน้าที่ต้อง เก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการย้อนหลังไม่น้อยกว่า 180 วัน ตลอดเวลาที่ใช้บริการ
- กรณีดำเนินคดี: หากมีความจำเป็นต้องใช้ข้อมูลเพื่อดำเนินคดีเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ผู้รับใบอนุญาตต้องเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการ เฉพาะเท่าที่จำเป็นต่อการดำเนินคดีเท่านั้น
- หลังสิ้นสุดสัญญา: หากการให้บริการโทรคมนาคมสิ้นสุดลง ผู้ให้บริการมีหน้าที่ต้องเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลของผู้ใช้บริการดังกล่าวไว้ ไม่น้อยกว่า 180 วัน นับแต่วันสิ้นสุดสัญญา
- การกำหนดข้อมูล: การเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคลจะเน้นเฉพาะข้อมูลของผู้ใช้บริการที่จำเป็นต่อการดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยสำนักงาน กสทช. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผู้ให้บริการจะร่วมกันกำหนดข้อมูลที่ต้องเก็บรักษาต่อไป
ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าวถือเป็นการยกระดับการควบคุมการใช้ทรัพยากรโทรคมนาคมของประเทศ เพื่อสกัดกั้นการก่ออาชญากรรมทางเทคโนโลยีอย่างเข้มงวด


