วันนี้ (1 ธันวาคม) ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส. แบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ร่วมภารกิจฟื้นฟูช่วยทำความสะอาดบ้านเรือนประชาชนที่ชุมชนริมคลองหวะ ซอยสามัคคี และอีกจุดที่วัดเกาะเสือ พร้อมหารือกับสมาคมและผู้ประกอบการในพื้นที่ ตลอดจนร่วมพูดคุยและรับฟังปัญหาจากประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
ณัฐพงษ์ระบุว่า วันนี้เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าความเสียหายจากเหตุอุทกภัยที่ประชาชนได้รับ แม้จะมีระดับที่แตกต่างกันไปแต่ก็เรียกได้ว่าได้รับผลกระทบกันทุกคน ล่าสุดทางภาครัฐมีมาตรการเยียวยา 9,000 บาทออกมา แต่ก็เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์โดยเฉพาะการให้ประชาชนต้องถ่ายเอกสารสำเนาบัตรประชาชน ทั้งที่สร้างความไม่สะดวกให้แก่ประชาชนโดยไม่มีความจำเป็นในการจัดการเลย
แม้ล่าสุดจะมีการแจ้งแก้ไขให้ประชาชนมาลงทะเบียนพร้อมแค่บัตรประชาชนใบเดียว หรือลงทะเบียนในระบบออนไลน์ได้ แต่กระบวนการขอรับการเยียวยาก็ยังคงเป็นเรื่องของภาระการพิสูจน์ของประชาชนอยู่ดี ที่ต้องมายืนยันตัวตนกับภาครัฐ ในสภาวะที่บ้านเรือนและทรัพย์สินของประชาชนได้รับความเสียหายอย่างหนัก หลายคนไม่สะดวกเดินทางหรือเข้าไม่ถึงอินเทอร์เน็ตจะทำเช่นไร จะต้องสูญเสียสิทธิไปโดยใช่เหตุหรือไม่
ณัฐพงษ์กล่าวต่อไปว่า จากภาพรวมกระบวนการเยียวยาในวันนี้ ขอย้ำข้อเสนออีกครั้งว่ากระบวนการเยียวยาควรมีสองรูปแบบ คือการจ่ายถ้วนหน้าให้ทุกคนที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบโดยไม่ต้องมีการพิสูจน์ และการเยียวยาอีกรูปแบบหนึ่งสำหรับประชาชนที่ได้รับความเสียหายเป็นการเฉพาะ ที่ต้องมีการพิสูจน์ความเสียหาย ก็เป็นอีกกระบวนการหนึ่งไป
โดยในส่วนของการจ่ายเงินเยียวยาถ้วนหน้าเป็นสิ่งที่อยู่ในขอบข่ายที่รัฐทำได้อยู่แล้ว เพราะข้อมูลจากหน่วยงานต่างๆ ของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลด้านภูมิสารสนเทศจาก GISTDA ที่อาศัยภาพถ่ายดาวเทียม หรือข้อมูลทะเบียนบ้านจากไปรษณีย์ไทย สามารถบ่งชี้ได้อย่างแม่นยำว่าพื้นที่บ้านเรือนประชาชนส่วนไหนที่ได้รับผลกระทบบ้าง เป็นระยะเวลากี่วัน เข้าเงื่อนไขการเยียวยาที่กำหนดหรือไม่
“เป็นเรื่องน่าเสียดายที่รัฐซึ่งมีข้อมูลอยู่ในมืออยู่แล้ว แต่กลับไม่นำข้อมูลเหล่านี้มาบูรณาการใช้ และกลับเลือกใช้ความเคยชินในการจ่ายเงินเยียวยาแบบเดิมๆ ที่ต้องให้ประชาชนเป็นผู้รวบรวมและยื่นเอกสารกับทางการเอง เป็นการผลักภาระในการพิสูจน์ไปให้กับประชาชน ทั้งที่คลังข้อมูลของหน่วยงานรัฐต่างๆ สามารถใช้เพื่อการพิสูจน์ได้ไม่ยาก และสามารถข้ามขั้นตอนที่เป็นภาระของประชาชนอย่างการรวบรวมและยื่นเอกสารได้”
นอกจากนี้ สิ่งที่น่ากังวลอีกประการคือจำนวนเงินเยียวยาเพียง 9,000 บาทต่อหัว นับว่าน้อยเกินไปมากสำหรับความเสียหายที่ประชาชนได้รับจากอุทกภัยในครั้งนี้ จากการที่ตนได้เข้าพื้นที่สำรวจความเสียหายร่วมกับอาสาสมัครมูลนิธิกระจกเงาวันนี้ จากที่ได้เห็นภาพความเสียหายที่อย่างไรเงิน 9,000 บาทไม่พอที่จะชดเชยเยียวยาแน่นอน ไม่ต้องพูดถึงส่วนที่ได้รับความเสียหายเฉพาะด้านที่ต้องมีการพิสูจน์ เพียงความเสียหายของประชาชนทั่วไปที่ขาดโอกาสในการหารายได้ หรือความเสียหายต่อทรัพย์สินและบ้านเรือน เงิน 9,000 บาทถือว่ายังน้อยเกินไปอยู่จริงๆ


