×

เปิดวิสัยทัศน์ ‘ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ’ ผู้นำพรรคส้มคนใหม่ ไม่ลดเพดาน 112 พร้อมทำงานหนักเพื่อประชาชน

โดย THE STANDARD TEAM
09.08.2024
  • LOADING...
ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ

48 ชั่วโมงหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ยุบพรรคก้าวไกล และให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรค 10 ปี 

 

สส. อดีตพรรคก้าวไกล ถือฤกษ์ดี (9 สิงหาคม 2567) จัดประชุมวิสามัญอดีตพรรคก้าวไกล เพื่อร่วมประชุมและกำหนดผู้บริหารพรรคชุดใหม่ ด้วยการเทกโอเวอร์ ‘พรรคถิ่นกาขาวชาววิไล’ ให้เป็นพรรคส้มภายใต้ชื่อใหม่ ‘พรรคประชาชน’ และมีคำขวัญว่า ‘โดยประชาชน เพื่อประชาชน สร้างประเทศไทยที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน’

 

พร้อมทั้งเลือก ‘ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ’ ชายวัย 37 ปี ผู้ที่เคยเป็นทั้ง สส. เขต และ สส. แบบบัญชีรายชื่อ ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าและอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ขึ้นเป็นผู้นำพาพรรคสีส้มคนใหม่

 

ตั้งเป้าเป็นรัฐบาลพรรคเดียวในปี 70

 

ณัฐพงษ์ประกาศว่า พรรคประชาชนมีภารกิจเพื่อสร้างรัฐบาลแห่งการเปลี่ยนแปลงในการเลือกตั้งปี 2570 โดยมีเป้าหมายสูงสุดนอกจากการเป็นพรรคอันดับหนึ่งเหมือนในปี 2566 แล้ว เราอยากจะชนะการเลือกตั้งโดยสามารถเป็นรัฐบาลพรรคเดียวให้ได้

 

ณัฐพงษ์ยังยืนยันอีกว่า การย้ายเข้าบ้านใหม่ในพรรคประชาชนนั้น สส. อดีตพรรคก้าวไกล 143 คน เข้ามาอยู่ในพรรคใหม่พร้อมกันทั้งหมด และเป็นบทพิสูจน์แล้วว่าไม่มีประเด็นเรื่องงูเห่า

 

ม.112 ยังไม่หลุดพ้นจากพรรคประชาชน

 

การแถลงเปิดตัวพรรคประชาชนครั้งนี้ได้รับความสนใจจากสำนักข่าวทั้งในประเทศและต่างประเทศ ซึ่งสื่อมวลชนหลายคนมีการตั้งคำถามถึงจุดยืนเกี่ยวกับการแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของพรรค สืบเนื่องจากคำวินิจฉัยการยุบพรรคและตัดสิทธิกรรมการบริหารพรรคก้าวไกลของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 7 สิงหาคมที่ผ่านมา

 

ณัฐพงษ์ยืนยันว่า พรรคประชาชนยังไม่เคยสื่อสารว่าจะลดเพดานหรือไม่ พร้อมทั้งกล่าวอีกว่า การเสนอร่างแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 นั้นเกิดขึ้นเพื่อไม่ให้มีการกลั่นแกล้งพรรคฝั่งตรงข้าม และคำวินิจฉัยศาลไม่ได้สั่งห้ามแก้ไข แต่เราจะไม่ประมาท เราทำทุกอย่างอย่างรอบคอบ คำตัดสินศาลรัฐธรรมนูญที่ยุบพรรคก้าวไกลนั้นต้องมีการศึกษาอย่างดี แต่คิดว่าพวกเราต้องผลักดันและเดินหน้าการปรับปรุงแก้ไขกฎหมาย โดยเฉพาะในส่วนนี้ที่ปัจจุบันยังมีปัญหาอยู่

 

ขณะเดียวกันก็ยืนยันว่ามาตรา 112 ไม่ใช่เรื่องที่เราเซ็นเซอร์ปิดปากตัวเอง พรรคประชาชนจะนำเสนอบนหลักการ โดยที่ไม่ได้มุ่งเป้าเซาะกร่อนบ่อนทำลายสถาบันใดตามรัฐธรรมนูญปัจจุบัน โดยต้องยึดตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ 

 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงความกังวลกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีมติไต่สวน 44 สส. อดีตพรรคก้าวไกล ที่ลงชื่อเสนอแก้ไขกฎหมายอาญา มาตรา 112 อาจเข้าข่ายผิดจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่ 

 

ณัฐพงษ์กล่าวว่า คำร้องของ ป.ป.ช. ต่างจากการยุบพรรค เพราะเป็นศาลยุติธรรม ต้องพิจารณาเป็นรายกรณี การกระทำของ สส. แต่ละคน องค์ประกอบอาจต่างกัน บางคนอาจเรียกร้องแทนผู้ชุมนุมหรือบางคนใช้สิทธิประกันตัว แต่ทุกคนได้ลงนามเสนอแก้ไขมาตรา 112 ซึ่งแต่ละคนมีสิทธิชี้แจงกันไป แต่ในส่วนของตนไม่มีข้อกังวล

 

ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า พรรคประชาชนที่เพิ่งตั้งมานี้จะมีอายุสั้นหรือยืนยาว ณัฐพงษ์กล่าวว่า จะสั้นหรือยืนยาวไม่ได้อยู่ที่เรา ที่ผ่านมาเห็นว่าสั้นหรือยืนยาวอยู่ที่กลุ่มขั้วอำนาจเก่าใช้เครื่องมือในการทุบทำลายเรา เอาสิ่งเหล่านั้นมากดทับไม่ให้เราเดินหน้าต่อ เพราะประชาชนอาจขาดศรัทธาในตัวเรา ยืนยันว่าจะเดินหน้าต่อไปแต่ไม่ประมาท ทำงานด้วยความสุขุม รอบคอบ ดังนั้นอายุยืนหรือไม่อยู่ที่พวกเขาด้วยและอยู่ที่ประชาชนสนับสนุน

 

กระนั้นณัฐพงษ์ยังยืนยันด้วยว่า พรรคประชาชนไม่ได้พุ่งเป้าที่จะเสนอแก้ไขมาตรา 112 เพียงอย่างเดียว แต่เสนอแก้ไขเรื่องนโยบายอื่นๆ และขอสื่อสารไปยังประชาชนที่อาจจะยังไม่ได้โหวตเลือกเราในอดีต พรรคประชาชนในปัจจุบันไม่ได้พุ่งเป้าใดๆ ต่อสถาบันฯ เราตั้งใจเสนอนโยบายต่างๆ ในโครงสร้างสังคมไทยที่ยังมีปัญหา นี่คือวิธีสื่อสารที่ตรงไปตรงมา ทำงานหนัก และจริงใจ เราคิดว่าจะได้รับเสียงสนับสนุนมากขึ้น

 

ขณะที่ พริษฐ์ วัชรสินธุ กล่าวเสริมว่า ในฐานะที่มีส่วนร่วมจัดทำนโยบายของพรรคก้าวไกล เรื่องมาตรา 112 เป็น 1 ใน 300 นโยบายที่เราเสนอไป ถ้าเราไปดูสิ่งที่พรรคก้าวไกลทำ เราพยายามแก้ไขทุกสิ่งที่เป็นปัญหาของประเทศนี้ ตั้งแต่พรรคก้าวไกลที่เราดำเนินการมา เราเสนอร่างกฎหมายไป 60 กว่าฉบับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องกระจายอำนาจ ยกระดับขนส่ง แก้ที่ดินทำกิน หรือคุ้มครองสิทธิแรงงาน 

 

“พรรคประชาชนพร้อมที่จะแก้ทุกปัญหาของประชาชน ถ้าย้อนไปดูในการเลือกตั้งปี 2566 ไม่ใช่พรรคก้าวไกลเพียงพรรคเดียว บางพรรคอาจพูดถึงเนื้อหาหรือการบังคับใช้ นี่เป็นคำถามที่ควรถามทุกพรรคเช่นกันว่าปัญหานี้จะมีทางออกเช่นไร”

 

ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า หากมีการลดเพดานเรื่องมาตรา 112 จะรักษาอุดมการณ์เหมือนเดิมได้หรือไม่ พริษฐ์กล่าวยืนยันว่า อะไรที่เราเคยมองว่าเป็นปัญหา เรายังมองว่าเป็นปัญหาอยู่ แต่ก็เข้าใจว่าพื้นที่ที่หาทางออกนั้นแคบลงด้วยคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แต่ศาลไม่ได้ห้ามแก้ไขมาตรา 112 เลย ยังมีพื้นที่เหลืออยู่ อาจเป็นเรื่องการพิจารณาอัตราโทษหรือสิทธิร้องทุกข์กล่าวโทษ 

 

ดังนั้นพื้นที่ที่น่าจะเหมาะสมที่สุดในการพูดคุยหาทางออกเรื่องนี้ก็คือพื้นที่ของสภา และพูดคุยบนพื้นฐานทางออกภายใต้กรอบของคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญสองครั้งที่ผ่านมาคือ คำวินิจฉัยที่ 3/2567 และ 10/2567

 

ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำถึงการตั้งกรรมการบริหารพรรคแค่ 5 คน ประกอบด้วย ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน, ศรายุทธ ใจหลัก เลขาธิการพรรคประชาชน, ชุติมา คชพันธ์ เหรัญญิกพรรค, ณัฐวุฒิ บัวประทุม นายทะเบียนพรรค และ พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ กรรมการบริหารพรรคนั้น เพื่อหลบเลี่ยงอุบัติเหตุทางการเมืองในอนาคตหรือไม่ 

 

ณัฐพงษ์ตอบว่า การตั้งกรรมการบริหารพรรค 5 คนไม่ได้หลบเลี่ยงอันตราย แต่เป็นข้อกำหนดขั้นต่ำของกฎหมาย เราต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ไร้รอยต่อ จากพรรคที่ถูกยุบสู่พรรคประชาชน เราต้องการหาสมาชิก 1 แสนคน บริจาค 10 ล้านบาท ภายใน 1 เดือน พวกเรายังเปิดกว้างและมีการหารือในพรรคถึงการออกแบบโครงสร้างพรรค ซึ่งจะมีกรรมการบริหารพรรคสัดส่วนมากขึ้นหรือไม่ก็ยังหารือในพรรคต่อ คาดว่าจะได้ข้อสรุปปลายเดือนหน้า

 

เป็นแคนดิเดตนายกฯ ของประชาชน 

 

การรับตำแหน่งหัวหน้าพรรคครั้งนี้ อีกคำถามสำคัญที่ณัฐพงษ์ต้องตอบสื่อมวลชนก็คือ ใครคือบุคคลที่จะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคประชาชน 

 

ณัฐพงษ์กล่าวว่า ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชน ทราบดีว่าวันนี้ตนยังไม่ได้ดีพร้อม แต่พร้อมที่จะพัฒนาตัวเอง ตราบใดที่ประชาชนสนับสนุน เห็นสิ่งที่เราทำมาโดยตลอด ตราบใดที่เราได้รับเสียงสนับสนุนเหล่านี้อยู่ ตนพร้อมผลักดันตัวเองไปข้างหน้าเช่นกัน 

 

ขณะเดียวกันพรรคของเราได้ถอดบทเรียนจากในอดีต เราเปิดกว้างเสนอหลายชื่อเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีได้ แต่ต้องผ่านการหารือในอนาคตด้วย คิดว่าตนพร้อมทำหน้าที่แทนทุกคน 

 

ผู้สื่อข่าวจึงถามย้ำว่า ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาชน จะนำพาพรรคชนะการเลือกตั้งปี 2570 อย่างไร ณัฐพงษ์กล่าวว่าการทำงานหนัก พร้อมยอมรับว่า หากเปรียบเทียบตนเองกับอดีตหัวหน้าพรรคคนก่อนๆ คุณสมบัติของตนอาจไม่เทียบเท่า แต่สิ่งที่คิดว่ามีไม่แพ้คนอื่นก็คือนำพาพวกเรามาอยู่ตรงนี้ ทำงานการเมืองให้ดีกว่าเดิม สิ่งที่มีไม่แพ้ใครคือทำงานหนัก เพื่อนำพาพรรคชนะการเลือกตั้งได้

 

ผู้สื่อข่าวจึงถามต่อว่า หากได้จัดตั้งรัฐบาล จะจับมือกับพรรคไหนหรือไม่ ณัฐพงษ์บอกว่าตอนนี้ยังเร็วไปที่จะตอบคำถามนี้ ต้องขึ้นอยู่กับผลการเลือกตั้งว่าเราชนะการเลือกตั้งเป็นรัฐบาลพรรคเดียวได้หรือไม่ หากไม่ได้เสียงเกินครึ่งก็ต้องจับมือกับพรรคการเมืองอื่นๆ ต้องดูนโยบายในการเลือกตั้งครั้งหน้า ถ้าพรรคที่เสนอนโยบายไม่ได้ขัดแย้งกับอุดมการณ์ของพรรค เราก็พร้อมทำงานกับทุกฝ่าย

 

ผู้สื่อข่าวถามต่อว่า ถูกจับตามองตั้งแต่เริ่มต้นพรรคประชาชนขณะนี้รู้สึกอย่างไร ณัฐพงษ์กล่าวว่า ตนเองและเพื่อนๆ รู้สึกกดดัน ซึ่งไม่ใช่การกดดันในเรื่องไม่ดี แต่เป็นการยกระดับตัวเองขึ้นไปอีก และอยากให้ทุกคนช่วยกันจับตาการทำงานของพวกเราต่อไป 

 

ผู้สื่อข่าวถามต่ออีกว่า ก่อนได้รับตำแหน่งหัวหน้าพรรค ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้าและอดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ให้คำแนะนำอะไรบ้างไหม ณัฐพงษ์กล่าวว่า เขาสื่อสารตรงๆ ว่าถ้ามารับตำแหน่งตรงนี้ เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี คุณต้องพัฒนาตัวเอง ต้องเห็นนโยบายอีกหลายด้าน ต้องทำงานอย่างหนัก คิดว่าสิ่งที่ธนาธรแนะนำมาถูกต้องที่สุด วันนี้ที่มาแถลงข่าวคิดว่าสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งคือ ถ้าเสนอตัวเองเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีจะสื่อสารตรงไปตรงมา โดยสิ่งที่เป็นอิทธิพลกับตนคืออุดมการณ์และความเชื่อ ไม่ใช่เรื่องตัวบุคคล

 

ผู้สื่อข่าวถามณัฐพงษ์ว่า รู้สึกกดดันหรือไม่ที่ถูกจับตามองว่า ‘หน้าเหมือนธนาธร’ ณัฐพงษ์ตอบว่า ตอนที่ลงเลือกตั้งครั้งแรกก็เคยมีคนทักว่าหน้าเหมือนและเคยมีคนทักผิด กระนั้นนอกจากความหน้าเหมือนแล้ว มีสิ่งหนึ่งที่เขาและธนาธรเหมือนกันคือ มีหลักการและความเชื่อว่าเราเข้ามาทำงานการเมืองเพื่ออะไร แน่นอนตนเองรู้สึกกดดัน แต่มองในมุมบวกว่าเป็นความกดดันที่เป็นความหวังของประชาชนที่อยู่บนบ่า ซึ่งมีทางออกเดียวที่จะคลายความกดดันนี้ได้คือ ต้องทำให้คนอื่นเชื่อว่าเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคในอนาคตได้ 

 

“ทุกคนให้กำลังใจ พี่ทิมจับไม้จับมือให้เบอร์หลังบ้านไว้สามารถโทรหาได้ตลอด 24 ชั่วโมง ส่วนคุณเอกก็เช่นเดียวกัน ซัพพอร์ตผมตลอดอยู่แล้ว” 

 

ติ่งเพื่อนเอกยัน ไม่มีดีลลับ

 

ขณะที่ ศรายุทธ ใจหลัก เลขาธิการพรรคประชาชน ตอบคำถามสื่อมวลชนถึงความสัมพันธ์กับธนาธรว่าจะมีการรับฟังความเห็นมาขับเคลื่อนพรรคหรือไม่ว่า ไม่ขอปฏิเสธความเป็นเพื่อนกับธนาธร เรารู้จักกันมา 20 กว่าปี ตั้งแต่เป็นรองสหพันธ์นิสิตนักศึกษาปี 2543 คบค้าสมาคมมาตลอดในฐานะมิตรสหาย ร่วมตั้งพรรคด้วยกันมาตั้งแต่อนาคตใหม่ ความคิดเราปกติ คุยกันตลอดเวลาในฐานะเพื่อนแลกเปลี่ยน 

 

แม้วันนี้จะอยู่คนละองค์กร แต่ก็ต้องมีเจอกันบ้างในฐานะเพื่อน ก็คุยกัน แต่เราเข้าใจกันดีว่าการบริหารงานแต่ละองค์กรจะมีผู้บริหารแต่ละองค์กร มีโครงสร้างการทำงานของมัน ความเห็นต่างๆ อาจผ่านหูตน อาจเสนอบ้าง แต่อำนาจการตัดสินใจอยู่ที่กรรมการบริหารพรรค เราทำงานด้วยความเข้าใจอย่างดี

 

ติ่ง-ศรายุทธ ใจหลัก เลขาธิการพรรคประชาชน 

ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร

 

“ส่วนการดีลลับต่างๆ มั่นใจเพื่อนเราทุกคน ไม่ว่าจะ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ, ปิยบุตร แสงกนกกุล หรือ ชัยธวัช ตุลาธน ในการคุยกับคนอื่น ไม่ใช่เรื่องมีปัญหาอะไร ในการรับฟังว่าคนนั้นคนนี้คิดเห็นอย่างไร มาเล่าสู่กันฟัง ไม่ได้มีปัญหาอะไรในความคิดของตน ปัญหาอยู่ที่คณะกรรมการบริหารจะตัดสินใจอย่างไรกับข้อมูลที่ได้รับมา นี่คือหลักการสำคัญ เรายืนอยู่บนหลักการนี้ตลอดตั้งแต่พรรคก้าวไกล” ศรายุทธกล่าว

 

ศิริกัญญาชี้ ไม่ได้ปฏิเสธนั่งหัวหน้าพรรคเลี่ยงปะทะอุ๊งอิ๊ง

 

ส่วน ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน เปิดเผยว่า ตนเองไม่ได้มีความประสงค์ในการลงแข่งขันชิงตำแหน่งหัวหน้าพรรคตั้งแต่ต้น ดังนั้นในขั้นตอนการหยั่งเสียงที่ประชุม สส. อดีตพรรคก้าวไกล ตนเสนอชื่อ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ด้วยตนเอง และในที่ประชุมก็มีการเสนอชื่อเพียงคนเดียวด้วยเหตุผลว่า ณัฐพงษ์มีประสบการณ์จากการทำงานเป็น สส. เขต และเป็น สส. แบบบัญชีรายชื่อ รวมทั้งมีส่วนร่วมในการบริหารงานภายในพรรคมาโดยตลอด ตนและเพื่อน สส. จึงมั่นใจและให้เสียงสนับสนุนณัฐพงษ์ เพราะมีคุณสมบัติพร้อมในการนำพรรคสู้ศึกเลือกตั้งในปี 2570

 

ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคประชาชน

ภาพ: ศวิตา พูลเสถียร 

 

ศิริกัญญายังตอบคำถามสื่อมวลชนถึงสาเหตุที่ตนเองไม่เลือกเป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ เพราะมีดีลลับหลีกเลี่ยงไม่ให้ไปปะทะ แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย หรือไม่ว่า พรรคประชาชนมุ่งหน้าโฟกัสไปที่การเลือกตั้งครั้งต่อไป ขณะที่ตนก็มีภารกิจหน้าที่ทำงานลงลึกเรื่องนโยบาย ต้องพัฒนานโยบายต่อ ทำงานหลังบ้าน สร้างมาตรฐานให้พรรคประชาชนและ สส. พรรคประชาชน สืบทอดมาตรฐานเดิมตั้งแต่พรรคอนาคตใหม่และก้าวไกล รักษาไว้เป็นอย่างดี เป็นหน้าที่ความรับผิดชอบที่เต็มใจรับ จึงควรอยู่ในฐานะที่เป็นมือไม้ซัพพอร์ตหัวหน้าพรรคคนต่อไป ไม่ได้มีการคุยเรื่องปะทะหรือหลีกเลี่ยงการปะทะกับใครแต่อย่างใด

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising
X
Close Advertising