วันนี้ (9 ตุลาคม) ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 30 สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1 วาระพิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจา ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส. แบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้ตั้งกระทู้ถาม สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ในประเด็นการทำประชามติพิจารณาการยกเลิก MOU43 และ 44 ระหว่างไทยและกัมพูชา ทั้ง 2 ฉบับ
ณัฐพงษ์ระบุว่า การทำประชามติ เป็นกลไกที่สำคัญในระบอบประชาธิปไตย ในการเปิดโอกาสให้พี่น้องประชาชนได้ใช้อำนาจทางตรง ในการตัดสินใจเรื่องสำคัญของประเทศ แต่การทำประชามติ จะสะท้อนเจตนารมย์ประชาชนได้นั้น สิ่งสำคัญคือกระบวนการในการจัดทำ ที่จะต้องรณรงค์อย่างเปิดกว้าง ให้ข้อมูลรอบด้าน ก่อนที่จะเข้าคูหา ซึ่งต้องทำให้ประชาชนเห็นอย่างชัดเจนว่า หลังจากยกเลิก MOU แล้ว จะส่งผลอย่างไรต่อการจัดการข้อพิพาทระหว่างไทย – กัมพูชา และไทยได้เปรียบ หรือเสียเปรียบอย่างไร
“ในมุมมองของผมแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะรณรงค์เรื่องนี้ให้ประชาชนรับทราบข้อมูล ทั้งข้อได้เปรียบ และข้อเสียเปรียบ จากการยกเลิกโดยที่ไม่สามารถทำให้กัมพูชาล่วงรู้ได้
MOU ทั้งสองฉบับนั้น มีสาระสำคัญในเรื่องการปัก/ปันเขตแดนทางบก และการบริหาร ผลประโยชน์ของพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล” ณัฐพงษ์กล่าว
ณัฐพงษ์อ้างถึงพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประชามติ มีบทบัญญัติไว้ว่ามาตรา 14 วรรค 3 การออกเสียงประชามติ ต้องไม่เป็นการชี้นำมาตรา 15 (5) การออกเสียงประชามติรัฐบาล และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ต้องให้รายละเอียดอย่างรอบด้าน ซึ่งหมายถึงข้อได้เปรียบ และข้อเสียเปรียบของไทยที่มีต่อกัมพูชา มาตรา 16 รัฐบาล และ กกต. จะต้องมีการจัด ให้มีการแสดงความคิดเห็นผ่านสถานีวิทยุและโทรทัศน์ และเวทีสาธารณะต่างๆ อย่างทั่วถึง ภายใต้รายละเอียดจำนวนมาก ที่ประชาชนจะต้องใช้ประกอบการตัดสินใจ พร้อมตั้งคำถาม 3 ข้อ ดังนี้
- รัฐบาลมีแผนในการดำเนินการในการจัดทำประชามติอย่างไร เพื่อไม่ให้การออกเสียงประชามติยกเลิก MOU ทั้งสองฉบับนี้ ขัดต่อ พ.ร.บ. ประชามติ โดยที่กัมพูชาไม่สามารถล่วงรู้ ข้อได้เปรียบหรือข้อเสียเปรียบของไทย
- พ.ร.บ.ประชามติมาตรา 15 (5) ยังมีบทบัญญัติเพิ่มเติมว่ารัฐบาล และ กกต. จากต้องให้ข้อมูลในส่วนของมาตรการในการป้องกันแก้ไขปัญหาเยียวยาที่จะเกิดขึ้น หากมีการดำเนินการตามผลประชามติ จึงขอตั้งคำถามว่าวันนี้รัฐบาลมีมาตรการหรือกลไกอื่นใดที่ดีกว่า MOU 43 ในการปักปันเขตแดนทางบก ระหว่างไทย และกัมพูชาหรือไม่ เพื่อรองรับผลกระทบอีกด้าน ที่จะต้องยกเลิก MOU ฉบับนี้ ส่วน MOU 44 รัฐบาลมีวิธีการ หรือมาตรการอย่างไร ในการป้องกันไม่ให้เอกชนที่ลงนามสัมปทานการขุดเจาะก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย ที่เป็นพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลไทย และกัมพูชา ไม่ให้นำเรื่องไปฟ้องอนุญาโตตุลาการ เรียกค่าเสียหายกับรัฐบาลไทย หากจะต้องมีการยกเลิก MOU ฉบับนี้
- หากจะยังดึงดันเดินหน้าจัดทำประชามติแบบนี้ ที่สุ่มเสี่ยงขัดต่อกฎหมาย และอาจจะมีผู้ร้องว่าการจัดทำประชามติแบบนี้ ให้ข้อมูลไม่รอบด้าน และทำให้การจัดทำประชามติเป็นโมฆะ หรือสิ้นผลไป จะยังเดินหน้าต่อจริงหรือไม่ หรือจริง ๆ แล้วรัฐบาลมีกลไกอื่น อย่างการใช้กลไกในรัฐสภาของคณะกรรมการวิสามัญ หรือรัฐบาล ดังนั้น กลไกเหล่านี้หรือไม่ที่จะเป็นทางออกที่ดีกว่าการออกเสียงประชามติรัฐบาลได้พิจารณาการใช้กลไกเหล่านี้อย่างรอบคอบ ก่อนที่จะส่งให้ฝ่ายบริหารตัดสินใจหรือไม่
ณัฐพงษ์ถามย้ำว่า ความเห็นในมุมมองของรัฐบาลในฐานะที่รัฐมนตรี เป็นบุคคลที่อยู่ในกระทรวงการต่างประเทศมาโดยตลอด และมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้ จึงอยากทราบความเห็นในฐานะที่เป็นนักการทูต และเป็นตัวแทนของรัฐบาลว่า เห็นด้วยหรือไม่ว่ารัฐบาลควรจะต้องยกเลิก MOU 43 และ 44
“เราต้องการผลประโยชน์สูงสุดของประเทศไทย แต่สิ่งที่เราไม่ต้องการคือการนำเรื่องนี้มาเรียกกระแสต่างๆ อาจทำให้เกิดการตัดสินใจที่ผิดพลาด ที่เราไม่สามารถกลับมาแก้ไขปัญหาได้อีก จนนำไปสู่กัมพูชาล่วงรู้ข้อเสียเปรียบ ได้เปรียบ และเดินเกมที่ผิดพลาด จนกัมพูชานำเรื่องนี้เข้าสู่ศาลโลกได้ ผมทราบดีว่ารัฐมนตรีรู้ว่าอะไรคือทางออก แต่ตอนนี้อยู่ใน ครม. จึงทำให้มีอุปสรรคบางอย่างจึงไม่สามารถตอบได้ตรงๆ” ณัฐพงษ์กล่าว
ณัฐพงษ์ย้ำว่า อยากได้คำยืนยัน ในฐานะที่ท่านดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเป็นคำพูดที่มีน้ำหนักในการให้ความเห็นของรัฐมนตรีชุดนี้ยืนยันออกมาดัง ๆ ได้หรือไม่ ตอบในฐานะการทูตว่า ท่านเห็นด้วยจริงหรือ ที่จะต้องมีการยกเลิก MOU ทั้ง 2 ฉบับ ท่านเห็นด้วยจริงๆ หรือว่าการทำประชามตินั้น เป็นกระบวนการที่เหมาะสมในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้ หรือถ้าไม่เห็นด้วย และไม่สามารถตอบออกมาได้อย่างชัดเจน
“ขอคำยืนยันได้หรือไม่ว่า จะเข้าไปนำเสนอข้อคิดเห็นในฐานะที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเพื่อที่จะเบรกฝ่ายการเมือง ที่นำเรื่องนี้มาเป็นประเด็นการเมืองเพื่อใช้กระแสชาตินิยม เพื่อหวังผลประโยชน์ทางการเมืองหรือไม่ ต้องการให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศยืนยันเจตนาในที่ประชุมแห่งนี้” ณัฐพงษ์กล่าว
สีหศักดิ์อุบให้ความเห็น เผยสัปดาห์หน้าอาจมีความชัดเจน
จากนั้น สีหศักดิ์ได้ตอบชี้แจงว่า เรื่อง MOU เป็นเรื่องสำคัญ ประชาชนควรมีส่วนร่วมแสดงความเห็น จึงเป็นที่มาของการทำประชามติ แต่ก็อาจจะไม่ถูกต้องหากอยู่บนพื้นฐานของการขาดข้อมูล
ทั้งนี้ สีหศักดิ์เปิดเผยว่า ในสัปดาห์หน้า ศ. บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกรัฐมนตรี จะนัดประชุมเพื่อหารือรูปแบบขั้นตอนในการทำประชามติว่าจะดำเนินการอย่างไร โดยสิ่งที่ณัฐพงษ์เสนอมา ถือว่าเป็นประโยชน์ และจะรับไปดำเนินการ ซึ่งหากมีความชัดเจนหลังการประชุมแล้ว จะขอมาชี้แจงที่รัฐสภาอีกครั้ง
สีหศักดิ์ตอบเพิ่มเติมว่า การเข้าสู่กระบวนการทำประชามติพิจารณาว่าจะยกเลิก MOU หรือไม่ เราทำด้วยความรอบคอบ คือต้องชัดเจนว่าหากไม่มี MOU แล้วจะมีอะไรเป็นทางเลือก เพื่อไม่ให้ความมั่นคงของประเทศไม่เสียหาย ในส่วนของกระทรวงการต่างประเทศ เห็นความสำคัญของแผนรองรับเพื่อรักษาผลประโยชน์ของเรา สำหรับการเยียวยายังมีรายละเอียดมาก แต่คิดว่า อะไรที่เป็นสิทธิชอบธรรมและได้รับผลกระทบจากการยกเลิก MOU เราก็จำเป็นต้องให้การเยียวยา
ขอยืนยันว่า เรื่องการต่างประเทศเป็นเรื่องผลประโยชน์ของชาติ หลายครั้งต้องไม่นำมาเป็นประเด็นทางการเมือง และเรื่องนี้ต้องมีการอภิปรายอย่างจริงจัง การจะตอบท่านต้องตอบด้วยความมั่นใจ จึงอยากให้มีการพูดคุยในรายละเอียดให้ชัดเจน พร้อมยืนยันอีกว่า จะนำความเห็นส่วนตัวของตนเองในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไปนำเสนอในกระบวนการพิจารณาของรัฐบาลแน่นอน
“สำหรับผมเอง เรื่องผลประโยชน์ของประเทศชาติ ขณะเดียวกัน เรื่องของกระบวนการประชาธิปไตยที่รัฐบาลต้องมีความรับผิดรับชอบต่อรัฐสภาก็ถือว่าสำคัญ ดังนั้น ถ้าท่านมีประเด็นอะไรต่างๆ ผมก็พร้อมจะมาชี้แจง และเมื่อเรามีแผนที่ชัดเจน ผมก็พร้อมจะมาชี้แจงอีกครั้ง” สีหศักดิ์กล่าวทิ้งท้าย
โดยหลังจบกระทู้ถามดังกล่าว วันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ปฏบัติหน้าที่ประธานการประชุมขณะนั้น ได้ถามเชิงหยอกล้อกับสีหศักดิ์ว่า เป็นอย่างไรบ้าง พร้อมระบุว่า “การตอบในสหประชาชาติ กับตอบในรัฐสภา บรรยากาศคงจะไม่ค่อยเหมือนกัน” ก่อนจะหัวเราะ