เว็บไซต์นิตยสาร TIME เผยแพร่บทสัมภาษณ์ เท้ง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน โดยพาดหัวว่า “หัวหน้าฝ่ายค้านของไทย พร้อมบริหารประเทศ”
บทสัมภาษณ์เผยแพร่ออกมาท่ามกลางสภาวะการเมืองไทยที่ยังคงเต็มไปด้วยความ ‘ไม่แน่นอน’ ในขณะที่พรรคประชาชน ที่ตอนนี้เป็นพรรคฝ่ายค้านหลัก ตั้งเป้าทำหน้าที่ เพื่อนำพาความเปลี่ยนแปลงในแง่บวกมาสู่ประเทศไทย
“วิสัยทัศน์ของเราคือการปฏิรูปการเมือง เศรษฐกิจ และลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม” เขากล่าว และสะท้อนว่า ณ วันนี้ “ปัญหาหลักยังคงเหมือนเมื่อ 20 ปีก่อน”
“เราต้องนำประชาธิปไตยที่สมบูรณ์มาสู่ประเทศของเรา”
บทสัมภาษณ์ยังชี้ถึงเรื่องการตัดสินใจของ ณัฐพงษ์และพรรคประชาชน ในการสนับสนุนฝ่ายอนุรักษนิยมอย่างพรรคภูมิใจไทยและอนุทิน ชาญวีรกูล ให้ครองอำนาจรัฐบาลและตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นเวลา 4 เดือน เพื่อแลกกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก่อนจะยุบสภาและเปิดทางสู่การเลือกตั้งใหม่
นอกจากนี้ ในการสัมภาษณ์ ณัฐพงษ์ยังชี้ถึงประเด็น ‘กฎหมายมาตรา 112’ ว่ายังคงสร้างปัญหาให้กับประเทศไทย โดยที่ผ่านมา คำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญในการวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกลระบุว่า พรรคการเมืองไม่ได้รับอนุญาตให้หาเสียงแก้ไขกฎหมาย ซึ่งเขายืนยันว่า “หากได้อำนาจ จะแก้ไขกฎหมายนี้ให้สอดคล้องกับคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ”
และนี่คือเนื้อหาบางส่วนจากบทสัมภาษณ์พิเศษนี้ ที่ฉายให้เห็นทั้งภูมิทัศน์ และสมการต่างๆ ของเกมการเมืองไทย ตลอดจนวิเคราะห์ความท้าทายในเส้นทางการเมืองของณัฐพงษ์และพรรคประชาชน
ความ ‘ก้าวหน้า’ ที่ถูก ‘คดโกง’
บทสัมภาษณ์เปิดด้วยข้อความที่สะท้อนว่า ‘โชคครั้งที่ 3’ ในการเลือกตั้งครั้งหน้าซึ่งเป็นการเลือกตั้งรอบที่ 3 ของ ‘ขบวนการก้าวหน้า’ ที่นำโดยกลุ่มเยาวชนและคนรุ่นใหม่ของไทย ซึ่งปัจจุบันหมายถึง ‘พรรคประชาชน’ อาจจะฟังดูเลื่อนลอย ขณะที่มองว่ายากจะระบุถึงความผิดพลาดที่ชัดเจนสำหรับพรรคการเมืองที่ผ่านการเลือกตั้งมา 2 ครั้งในรอบ 7 ปี และปัจจุบันครองตำแหน่งพรรคการเมืองที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของไทย
TIME ชี้ว่า สถานการณ์ที่ขัดขวางการครองอำนาจรัฐบาลของขบวนการก้าวหน้าที่ผ่านมา อาจกล่าวได้ว่าเป็นสถานการณ์ที่เผชิญกับความ ‘ซับซ้อน’ หรือหากพูดตรงๆ คือ ‘ความบิดเบี้ยวและคดโกง’ โดยชี้ตัวอย่าง คือกรณีของพรรคอนาคตใหม่ ที่ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรคในปี 2019 และกรณีพรรคก้าวไกล ซึ่งชนะในการเลือกตั้งครั้งที่ 2 โดยได้รับคะแนนเสียง 38% และได้ที่นั่ง สส.ในสภา 151 ที่นั่ง แต่ถูกขัดขวางไม่ให้จัดตั้งรัฐบาลโดยวุฒิสภาที่กองทัพแต่งตั้ง และถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสินยุบพรรค
โดยปัจจุบัน พรรคก้าวไกลได้เปลี่ยนชื่อเป็นพรรคประชาชนและกำลังเตรียมลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นครั้งที่ 3 ภายใต้การนำของณัฐพงษ์ อดีตวิศวกรซอฟต์แวร์ วัย 38 ปี
เขาตั้งเป้าที่จะครองที่นั่ง สส.เสียงข้างมาก และเน้นย้ำภารกิจสำคัญคือ “ต้องทำให้ประชาชนเชื่อว่า พร้อมที่จะบริหารประเทศ”
บทพิสูจน์ความเป็นผู้นำ
ความท้าทายสำหรับณัฐพงษ์ คือการต่อยอดผลงานอันโดดเด่นของพรรคก้าวไกล ในการเลือกตั้งเมื่อปี 2023 โดยต้องได้ที่นั่ง สส.ในการเลือกตั้งครั้งถัดไปมากพอที่จะจัดตั้งรัฐบาลและประกาศใช้นโยบายในการกระจายอำนาจ ยกเลิกกฎระเบียบ และลดอิทธิพลทางการเมืองของกองทัพ
“ประเทศไทยมีปัญหาร้ายแรงมากมาย ทั้งกองทัพที่เข้ามามีบทบาททางการเมือง การยึดอำนาจรัฐ การรวมศูนย์อำนาจของระบบราชการ ดังนั้นการต่อสู้ในประเด็นหลักเหล่านี้จึงเป็นการต่อสู้กับคนไม่กี่คนที่ได้ประโยชน์จากระบบปัจจุบัน” ณัฐพงษ์กล่าว
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ยังต้องรอดูกันต่อไปคือ ณัฐพงษ์จะเป็นผู้นำที่จะประสบความสำเร็จในจุดที่คนอื่นทำไม่ได้หรือไม่ แม้ว่าเขาจะใส่ใจในรายละเอียดและมีการพูดจาที่ดี แต่ก็ยังขาดคุณสมบัติที่โดดเด่นอย่างธนาธรหรือพิธา
“รากฐานที่แท้จริงของความนิยมของพรรคก้าวไกลคือสิ่งที่เรียกว่า ‘แฟนด้อม’ ที่สร้างขึ้นโดยหัวหน้าพรรค” ดร.ณพล จาตุศรีพิทักษ์ นักวิจัยจากสถาบัน ISEAS-Yusof Ishak ในสิงคโปร์กล่าว “ธนาธรและพิธาเป็นคนดังมาก ในทางตรงกันข้าม ณัฐพงษ์มีภาวะผู้นำที่เป็นผู้นำที่สุขุมเยือกเย็นและมีเหตุผลมากกว่า แต่ไม่มีไหวพริบมากนัก ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ดีเสมอไปสำหรับการเลือกตั้ง”
ขณะที่ ศ.ดร.ฐิตินันท์ พงษ์สุทธิรักษ์ อาจารย์ประจำภาควิชารัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า บุคลิกที่อ่อนโยนกว่าของณัฐพงษ์ อาจช่วยให้เขาหลีกเลี่ยงการกลายเป็น “สายล่อฟ้า” ให้กับกลุ่มชนชั้นนำผู้มีอำนาจ
“ณัฐพงษ์ได้รับการสนับสนุนอย่างแข็งแกร่งภายในพรรค เขาทำงานด้านนโยบายที่ไม่ค่อยได้รับการเห็นคุณค่ามากนัก และเก่งในการสื่อสาร มีทักษะในการพูด พูดจาชัดเจน และสื่อสารได้ตรงประเด็นเมื่อกล่าวในสภา คนนี้นี่แหละคือของจริง”ศ.ดร.ฐิตินันท์ กล่าว
TIME รายงานว่า แม้ณัฐพงษ์จะเป็นบุตรคนที่ 4 ของสุชาติ เรืองปัญญาวุฒิ เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ แต่เขาปฏิเสธว่า ไม่ได้เป็นกลุ่มชนชั้นนำ และเน้นย้ำว่าพ่อแม่ของเขาเริ่มมีเงินมากขึ้นในขณะที่เขาอยู่ในช่วงวัยรุ่น
หลังจากสำเร็จการศึกษา ณัฐพงษ์ได้ก่อตั้งบริษัทคลาวด์คอมพิวติ้ง ก่อนที่จะได้รับเลือกตั้งเป็น สส. พรรคอนาคตใหม่ในปี 2019 โดยแม้ว่าจะแต่งงานแล้ว แต่เขาไม่มีลูก และบอกว่าเวลาว่างส่วนใหญ่มักจะใช้ไปกับการอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ไทยหรือดูซีรีส์การเมืองของ Netflix เช่น Designated Survivor ทั้งเวอร์ชันอเมริกาและเกาหลี
ความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีของณัฐพงษ์ คือบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางการรณรงค์หาเสียงออนไลน์ของพรรคก้าวไกล ในปี 2023 โดยได้รับการยกย่องว่า ช่วยสร้างแรงสนับสนุนอย่างกว้างขวางในทั่วทุกภูมิภาคของไทย
ด้วยแคมเปญรณรงค์หาเสียงซึ่งมุ่งเน้นไปที่โซเชียลมีเดีย
TIME ระบุว่าที่ผ่านมา ประเทศไทยตกเป็นเหยื่อของนโยบายอุปถัมภ์ที่ล้าสมัยมาอย่างยาวนาน โดยมีการแจกเงินและสิ่งจูงใจอื่นๆ ผ่านครอบครัวท้องถิ่นผู้ทรงอิทธิพล หรือที่รู้จักกันในชื่อ ‘บ้านใหญ่’ เพื่อสร้างแรงสนับสนุน
ณัฐพงษ์ กล่าวว่า เขารู้ว่าการเมืองแบบอุปถัมภ์จะแข็งแกร่งขึ้นมาก ดังนั้นสิ่งสำคัญคือพรรคประชาชนต้องดึงดูดมวลชนจำนวนมากเพื่อชนะการเลือกตั้ง โดยวางเป้าหมายคือชนะทุกที่นั่ง เพื่อให้ได้เสียงข้างมากในสภาอย่างชัดเจน
หนุนภูมิใจไทย จุดยืนที่เป็นปัญหา?
ความเสี่ยงที่ประเทศไทยจะเผชิญภาวะสุญญากาศทางการเมือง ส่งผลให้ณัฐพงษ์และพรรคประชาชน ตอบตกลงในการยกมือโหวตสนับสนุนอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของไทยโดยแลกกับการยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ภายใน 4 เดือน ตลอดจนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และจัดทำประชามติ
TIME ยังเผยแพร่ความเห็นนักวิชาการหลายคน ที่ตั้งคำถามต่อการตัดสินใจดังกล่าว โดยดันแคน แมคคาร์โก (Duncan McCargo) ศาสตราจารย์และผู้เชี่ยวชาญด้านประเทศไทยจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีนันยางของสิงคโปร์ กล่าวว่า “คน Gen Z จำนวนมากรู้สึกตกใจและไม่เข้าใจเหตุผล ว่าทำไมพรรคประชาชนจึงไม่งดออกเสียง”
ดร.ณพล ให้สัมภาษณ์ TIME โดยมองว่า “คนไทยทั่วไปไม่เชื่อว่าพวกเขาอยู่ภายใต้การปกครองของทหาร หรือแม้แต่การปกครองแบบกึ่งเผด็จการ”
ขณะที่เขามองว่าการสนับสนุนพรรคภูมิใจไทยเพื่อแลกกับการเลือกตั้ง ทำให้พรรคประชาชนตกอยู่ใน “สถานการณ์ที่ลำบากมาก” และสูญเสียจุดยืนของพรรคที่ต่อต้านอิทธิพลของกองทัพ
อย่างไรก็ตาม ณัฐพงษ์มองต่างออกไป โดยชี้ว่าการให้สัมภาษณ์กรณีการสนับสนุนพรรคภูมิใจไทย และเลือกอนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี ย่อมต้องส่งผลกระทบต่อความนิยมของพรรคประชาชน แต่ถึงกระนั้น สิ่งที่เป็นปัญหาที่แท้จริงของประเทศไทย ณ ขณะนี้ คือการต้องมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
ม.112 ยังเป็นปัญหา
TIME ชี้ว่า สิ่งที่ยังค้างคาใจยังคงเป็นทัศนคติของพรรคประชาชนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทย เนื่องจากการปฏิรูปกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้น คือเบื้องหลังเหตุผลในการยุบพรรคก้าวไกล
ณัฐพงษ์กล่าวว่า คำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญระบุเพียงว่า พรรคการเมืองไม่ได้รับอนุญาตให้หาเสียงแก้ไขกฎหมาย ดังนั้น แม้ว่าเขาจะไม่ยอมให้มีการกล่าวถึงเรื่องการแก้ไขกฎหมาย ม.112 ในแถลงการณ์หรือคำปราศรัยหาเสียงใดๆ แต่ความทะเยอทะยานและตั้งใจในการแก้ไขกฎหมายมาตรา 112 ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง
“มาตรา 112 ยังคงสร้างปัญหาให้กับประเทศไทย หากเราได้อำนาจ เราจะแก้ไขกฎหมายนี้ให้สอดคล้องกับคำพิพากษาของศาลรัฐธรรมนูญ” เขากล่าว และยืนยันว่า “สถาบันพระมหากษัตริย์ต้องอยู่เหนือการเมือง และยังคงเป็นสถาบันหลักในประเทศไทย”
ขณะที่ณัฐพงษ์กล่าวกับ TIME ว่า เขารู้ดีว่าความตั้งใจที่จะปฏิรูปสถาบันฯ กำลังทำให้ตัวเขาตกเป็นเป้าหมายใหญ่ และเมื่อถูกถามว่า เขามั่นใจได้หรือไม่ว่าจะรอดพ้นจากชะตากรรมแบบเดียวกับอดีตผู้นำพรรคคนอื่นๆ ณัฐพงษ์กล่าวว่า “ผมบอกไม่ได้ แต่ผมจะทำให้ดีที่สุด”
“เราต้องการการปฏิรูปทางการเมือง ที่ทำให้องค์กรอิสระต้องรับผิดชอบต่อประชาชน” ณัฐพงษ์ กล่าว
อ้างอิง: