วันนี้ (4 มีนาคม) ประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แห่งชาติ เปิดเผยว่า ที่ประชุมเห็นชอบให้คงการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันสำคัญทางศาสนาสำคัญ 5 วัน ได้แก่ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา วันอาสาฬหบูชา วันเข้าพรรษา และวันออกพรรษา
แต่ให้ผ่อนคลายให้ขายได้บางสถานที่ ดังนี้
- การขายในอาคารที่ให้บริการแก่ผู้โดยสารภายในสนามบินที่ให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศ
- การขายในสถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการ
- การขายในสถานประกอบการที่เปิดให้บริการในลักษณะที่คล้ายกับสถานบริการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่หรือบริเวณที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ทั้งนี้ ตามที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
- การขายในโรงแรมตามกฎหมายว่าด้วยโรงแรม
- การขายในสถานที่ซึ่งใช้จัดกิจกรรมพิเศษระดับชาติหรือนานาชาติ และมีคนจำนวนมากไปทำกิจกรรมร่วมกันตามรายชื่อสถานที่ที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขประกาศกำหนด โดยคำแนะนำของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา
ทั้งนี้ ผู้ขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ตามที่ได้รับการยกเว้นให้ขายได้ตามประกาศที่จะออกมานี้ต้องให้มีการคัดกรองและมาตรการที่จำเป็นเพื่อการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม ความปลอดภัยของประชาชน และการจำกัดการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ไม่เหมาะสมของเด็กและเยาวชนด้วย
ประเสริฐระบุว่า สำหรับขั้นตอนของการประกาศมาตรการนี้จะมีการนำมติที่ประชุมของคณะกรรมการในการออกประกาศฉบับนี้ไปรับฟังความคิดเห็นภายใน 15 วัน หลังจากนั้นจะส่งให้กระทรวงสาธารณสุขให้การรับรอง และส่งกลับมาให้นายกรัฐมนตรีลงนามก่อนประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยขั้นตอนทั้งหมดจะแล้วเสร็จก่อนวันวิสาขบูชาที่ตรงกับวันที่ 11 พฤษภาคมนี้อย่างแน่นอน
“ประกาศที่จะออกมาผ่อนคลายการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในครั้งนี้ จะทำให้ครอบคลุมสถานที่ท่องเที่ยว และส่งเสริมมาตรการท่องเที่ยวตามการที่รัฐบาลประกาศให้เป็นปีท่องเที่ยวในปี 2568 ซึ่งใน กทม. มีพื้นที่ท่องเที่ยวที่มีชาวต่างชาติจำนวนมากไปท่องเที่ยว เช่น ทองหล่อและพัฒน์พงศ์ โดยมาตรการนี้ไม่เกี่ยวข้องกับช่วงเทศกาลสงกรานต์ เนื่องจากเป็นการแก้ไขในส่วนที่เป็นวันสำคัญทางศาสนา” ประเสริฐกล่าว
สำหรับข้อเสนอเรื่องของการขยายระยะเวลาในการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในการประชุมครั้งนี้ยังไม่ได้มีการพิจารณา เนื่องจากหากจะแก้ไขในส่วนดังกล่าวต้องมีการแก้ไข พ.ร.บ.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ที่เป็นกฎหมายใหญ่ ซึ่งต้องหารือกันในขั้นตอนต่อจากนี้