หลายวันที่ผ่านมาอยู่ๆ ผมก็นึกถึงเรื่องบางเรื่องขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
พอดีแค่รู้สึกว่ามนุษย์เรา – ไม่ว่าจะยุคสมัยใดก็ตาม – มักจะตัดสินคนอื่นอย่างรีบร้อน ทั้งๆ ที่เราไม่เคยได้รู้จักตัวตนจริงๆ ของเขาสักหน่อย
ก็แค่เพียงรู้จักอย่างผิวเผิน ก็แค่เพียงเคยเห็นด้วยหางตา หรือก็แค่เพียงได้ยินเสียงเล่าแว่วมาทางสายลม
ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วหากเราอยากจะรู้จักใครสักคนจริงๆ – ไม่ว่าเขาคนนั้นจะดีเลิศเลอหรือแย่เลวร้ายสักแค่ไหน – สิ่งที่เราควรจะทำคือการได้ลองพูดคุย ทำความรู้จัก
หรืออย่างน้อยที่สุดคือการให้เขาได้พูด ได้เล่าในสิ่งที่เขาคิดในสมองและรู้สึกในหัวใจ
เป็นจังหวะบังเอิญดีนะครับที่จู่ๆ ก็ได้เห็นว่า นาโอมิ โอซากะ นักเทนนิสสาวชาวญี่ปุ่นมืออันดับ 2 ของโลก (ที่ดังกว่ามืออันดับ 1) ซึ่งมีกรณีอ่อนไหวเกิดขึ้นในช่วงของการแข่งขันเทนนิสเฟรนช์โอเพ่น เกี่ยวกับการไม่ทำหน้าที่ของนักเทนนิสในการให้สัมภาษณ์กับสื่อในช่วงก่อนและหลังเกมการแข่งขัน ก่อนที่เธอจะขอถอนตัวและพักการแข่งมาเป็นระยะเวลาหลายสัปดาห์ – เธอได้กลับมาปรากฏตัวอีกครั้งแล้ว
และการปรากฏตัวครั้งนี้ไม่ธรรมดา เพราะเป็นบทความในนิตยสาร Time ที่เปิดเผยความรู้สึกจริงๆ ของเธอผ่านตัวอักษร ซึ่งผมได้อ่านแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจอย่างมาก และขออนุญาตถ่ายทอดสิ่งที่เธอเขียนออกมาโดยไม่ตัดทอนเลย
ที่มา: Time.com
Naomi Osaka: ‘It’s O.K. to Not Be O.K.’ (นิตยสาร Time)
ชีวิตคือการเดินทาง
ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาฉันได้เดินทางผ่านเส้นทางที่ไม่คาดฝัน แต่ก็เป็นเส้นทางหนึ่งที่ได้สอนฉันอย่างมากมายและทำให้ฉันได้เติบโตขึ้น ฉันได้เรียนรู้บทเรียนที่สำคัญๆ อยู่ 2 อย่างด้วยกัน
บทเรียนที่หนึ่ง ไม่มีวันที่เราจะทำให้ทุกคนพอใจได้ทั้งหมด โลกใบนี้นั้นมีความแตกต่าง นับตั้งแต่ที่ฉันจำความได้ในช่วงชีวิตสั้นๆ 23 ปีของฉัน ประเด็นที่ชัดเจนสำหรับฉันในเรื่องคุณค่าที่แท้จริง เช่น การสวมหน้ากาก (ที่มีชื่อของคนผิวดำที่เสียชีวิตเพราะการเหยียดสีผิว) หรือการคุกเข่าเพื่อสนับสนุนการต่อต้านการเหยียดสีผิวนั้น ก็มีการต่อต้านอย่างรุนแรง ซึ่งฉันรู้สึกประหลาดใจ ดังนั้นในตอนที่ฉันแถลงข่าวในเฟรนช์โอเพ่นเพื่อดูแลสภาพจิตใจของตัวฉันเอง ฉันก็ควรที่จะเตรียมตัวสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมา
บทเรียนที่สองนั้นดูจะยิ่งมีคุณค่ามากกว่า สำหรับฉันมันชัดเจนอย่างแท้จริงว่าทุกคนต่างก็เจ็บปวดจากประเด็นเกี่ยวกับปัญหาทางจิตของตัวเองหรือรู้จัก ใครสักคนที่กำลังเจ็บปวดอยู่ ข้อความที่ฉันได้รับจากผู้คนมากมายนั้นเป็นเครื่องยืนยันในเรื่องนี้ ฉันคิดว่าเราน่าจะเห็นพ้องต้องกันได้ว่าเราทุกคนต่างเป็นมนุษย์ มนุษย์ที่มีความรู้สึกและอารมณ์
บางทีการแสดงออกของฉันอาจจะทำให้หลายคนสับสน เพราะมันมี 2 ประเด็นย่อยในเวลาเดียวกัน ในจิตใจของฉันพวกเขาล้ำเส้น และนั่นคือเหตุผลที่ฉันพูดเรื่องทั้งหมดพร้อมกัน แต่เราลองมาแยกประเด็นนี้เพื่อมาพูดคุยกัน
เรื่องแรกคือเรื่องของสื่อ แต่ปัญหาไม่ใช่สื่อหรอก แต่มันเป็นเรื่องของรูปแบบในการแถลงข่าวที่มีมาแต่ดั้งเดิม ฉันอยากพูดอีกครั้งสำหรับคนที่ทำงานอยู่ข้างหลังว่าฉันรักสื่อ แต่ฉันไม่รักการแถลงข่าว
ฉันสนุกเสมอกับความสัมพันธ์อันน่ามหัศจรรย์กับสื่อ และฉันได้เคยให้สัมภาษณ์ในเชิงลึกแบบตัวต่อตัวจำนวนนับครั้งไม่ถ้วน ถ้าไม่นับบรรดาซูเปอร์สตาร์ที่อยู่ในวงการนี้มานานกว่าฉัน (โนวัค ยอโควิช, โรเจอร์ เฟเดอเรอร์, ราฟาเอล นาดาล, เซเรนา วิลเลียมส์) ฉันคิดว่าฉันน่าจะเป็นคนที่มีเวลาให้สื่อมากกว่านักกีฬาคนไหนๆ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
ฉันพยายามที่จะตอบคำถามด้วยความจริงจากส่วนลึกของใจเสมอ ฉันไม่เคยได้รับการฝึกเรื่องการรับมือกับสื่อมาก่อน ดังนั้นสิ่งที่คุณเห็นก็คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริงทั้งหมด จากที่ฉันเห็น นักกีฬากับสื่อนั้นเราต่างพึ่งพาและเคารพซึ่งกันและกัน
อย่างไรก็ดีในความคิดเห็นของฉัน (และฉันอยากจะย้ำว่านี่เป็นแค่ความเห็นของฉันคนเดียว ไม่ได้หมายถึงนักกีฬาทุกคนที่เล่นในทัวร์) รูปแบบของการแถลงข่าวนั้นมันล้าสมัยเกินไปแล้ว และต้องการการเปลี่ยนแปลงเพื่อความสดใหม่ ฉันเชื่อว่าเราจะทำให้มันดีขึ้นได้ น่าสนใจขึ้นได้อีก และสนุกมากกว่านี้ได้อีกสำหรับทั้งสองฝ่าย ลดเรื่องการตั้งคำถาม การหาคำตอบ แต่เป็นการพูดคุยกันตรงไปตรงมาอย่างแท้จริง
จากปฏิกริยาตอบรับที่เกิดขึ้น ฉันได้เห็นว่านักเขียนเทนนิสส่วนใหญ่จะไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เกิดขึ้น สำหรับพวกเขาเกือบทุกคน การแถลงข่าวในรูปแบบดั้งเดิมนั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และไม่ควรมีใครตั้งคำถาม หนึ่งในสิ่งที่พวกเขากังวลมากที่สุดคือฉันอาจจะเป็นอันตรายต่อทุกสิ่งที่เคยมีมา แต่ตามที่ฉันรู้มาก็ไม่มีใครในวงการเทนนิสที่งดแถลงข่าวอีก ฉันไม่เคยตั้งใจที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดการปฏิวัติ แต่ก็แค่อยากจะพิจารณาอย่างจริงจังในพื้นที่การทำงานของเรา และตั้งคำถามว่าเราจะสามารถทำมันให้ดีกว่านี้ได้อีกไหม
ฉันได้สื่อสารไปว่าฉันอยากจะของดการแถลงข่าวในโรลังด์ การ์รอส เพื่อดูแลตัวเองและปกป้องสุขภาพจิตของฉันเอง ฉันขอยืนกรานเช่นนั้น นักกีฬาทุกคนคือมนุษย์ เทนนิสคืออาชีพของเราที่มีสิทธิพิเศษ และแน่นอนว่ามันก็ย่อมต้องมีสิ่งผูกมัดในเรื่องนอกสนามที่เกี่ยวข้องกันอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ฉันจินตนาการไม่ออกว่าจะมีนักกีฬาอาชีพคนอื่นที่มีสถิติในการแถลงข่าวสม่ำเสมอ (ฉันพลาดการแถลงข่าวแค่ครั้งเดียวใน 7 ปีตลอดการทัวร์ของฉัน) จะต้องถูกสอบสวนหนักขนาดนี้ไหม
บางทีเราอาจจะให้นักกีฬามีสิทธิ์ที่จะได้พักใจจากการตอบคำถามของสื่อแบบนานๆ ครั้งโดยที่ไม่ต้องถูกลงโทษอย่างเข้มงวด
ในสายอาชีพอื่น คุณสามารถจะลากิจได้โดยไม่มีความผิด ตราบใดที่มันไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นนิจ คุณไม่จำเป็นต้องมาเปิดเผยเรื่องโรคส่วนตัวของคุณกับนายจ้าง ซึ่งน่าจะมีมาตรการของฝ่ายบุคคลที่ปกป้องคุณอย่างน้อยในระดับความเป็นส่วนตัว
ในกรณีของฉัน ฉันรู้สึกว่าฉันตกอยู่ใต้ความกดดันมหาศาลในการเปิดเผยอาการป่วยของฉัน เพียงเพราะสื่อและผู้จัดไม่เชื่อฉัน ฉันไม่ได้ปรารถนาให้ใครต้องมาพบเจอสิ่งนี้เหมือนกัน และหวังว่าเราจะสามารถหามาตรการที่จะปกป้องนักกีฬาได้ โดยเฉพาะคนที่มีความเปราะบาง และฉันก็ไม่อยากที่จะต้องมาตอบเรื่องประวัติการรักษาของฉันอีกแล้ว ดังนั้นฉันอยากขอร้องสื่อว่าช่วยเห็นแก่ความเป็นส่วนตัวและมีความเห็นอกเห็นใจฉันบ้างในครั้งหน้าที่เราพบกัน
ทุกคนมีช่วงเวลาที่เราจะต้องจัดการกับบางเรื่องราวที่เกิดขึ้นเบื้องหลังได้ทั้งนั้น เราทุกคนต่างเป็นมนุษย์ที่ต้องผ่านบางเรื่องราวในบางระดับ ฉันเองมีคำแนะนำมากมายที่อยากจะเสนอต่อคนระดับสูงในวงการเทนนิส แต่คำแนะนำอันดับ 1 ที่ฉันอยากจะเสนอคืออยากให้อนุญาตให้มีจำนวนวัน ‘ลาป่วย’ ได้นิดหน่อยต่อปี ที่เราจะสามารถใช้เลี่ยงการทำงานใต้ข้อตกลงกับสื่อได้โดยไม่จำเป็นต้องเปิดเผยเหตุผลส่วนตัว ฉันเชื่อว่านี่จะทำให้วงการกีฬานั้นอยู่ในระดับที่เทียบเท่ากับวงการอื่นของสังคม
สุดท้ายนี้ฉันอยากขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจฉัน ซึ่งมีมากมายจริงๆ แต่ฉันอยากเริ่มที่ครอบครัวและเพื่อนของฉันที่มหัศจรรย์อย่างมาก ไม่มีสิ่งใดที่สำคัญมากกว่าความสัมพันธ์เหล่านี้แล้ว ฉันอยากขอบคุณบุคคลสาธารณะที่ให้การสนับสนุน ให้กำลังใจ และให้คำปลอบใจที่อบอุ่น
มิเชล โอบามา, ไมเคิล เฟลป์ส, สตีเฟน เคอร์รี, โนวัค ยอโควิช, เมแกน มาร์เคิล คือชื่อส่วนน้อยที่ฉันขอเอ่ยถึง ยิ่งกว่านั้นคือฉันรู้สึกซาบซึ้งต่อเหล่าพันธมิตรของฉันทุกเจ้า แม้ว่าฉันจะไม่ประหลาดใจเลย เพราะแบรนด์พันธมิตรที่ฉันเลือกนั้นต่างเป็นอิสระ มีความเห็นอกเห็นใจ และมีความคิดก้าวหน้า ฉันขอขอบคุณอย่างสูงจริงๆ
หลังจากที่ได้พักในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อเติมพลังและได้ใช้เวลากับคนที่รัก ฉันได้มีเวลาที่จะทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นและคิดถึงอนาคตข้างหน้า ฉันตื่นเต้นมากที่จะได้ลงเล่นในโตเกียว ลำพังกีฬาโอลิมปิกก็เป็นสิ่งมหัศจรรย์ในตัวมันเองอยู่แล้ว แต่การได้มีโอกาสเล่นต่อหน้าแฟนชาวญี่ปุ่นนั้นคือความฝันที่เป็นจริง ฉันหวังว่าฉันจะทำให้พวกเขาภูมิใจ
พวกคุณจะเชื่อหรือไม่ก็ตาม แต่ฉันเป็นคนที่มีบุคลิกภาพแบบเก็บตัวโดยธรรมชาติ (Naturally Introverted) และไม่ชอบการเป็นจุดสนใจ ฉันพยายามเสมอในการจะผลักดันตัวเองให้พูดในสิ่งที่ฉันเชื่อและคิดว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แต่บ่อยครั้งที่มันก็ทำให้ฉันเกิดความวิตกกังวล ฉันรู้สึกไม่สบายใจนักที่จะต้องเป็นเหมือนโฆษกหรือเป็นตัวแทนในเรื่องปัญหาสุขภาพจิตของนักกีฬา เพราะเรื่องนี้ยังใหม่มากสำหรับฉัน และฉันก็ไม่ได้มีคำตอบทั้งหมด ฉันหวังว่าผู้คนจะเชื่อมโยงและเข้าใจได้ว่า มันโอเคหากเราจะบอกว่าเราไม่โอเค และมันก็โอเคที่เราจะพูดมันออกมาด้วย เพราะมีคนที่พร้อมจะช่วยเราเสมอ และมันมีแสงสว่างอยู่ที่ปลายอุโมงค์จริงๆ
ไมเคิล เฟลป์ส (ตำนานนักว่ายน้ำสหรัฐฯ ที่เคยประสบปัญหาทางจิตใจอย่างรุนแรง) เคยบอกกับฉันว่า แค่การได้พูด ฉันอาจจะได้ช่วยชีวิตไปแล้วก็ได้ ถ้ามันเป็นจริง ดังนั้นก็ถือว่าคุ้มค่ามากพอแล้ว
ที่มา: Time.com
ผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันนะว่าเธอได้แรงบันดาลใจจากซีรีส์ดังที่ฮิตอย่างมากเมื่อปีกลายหรือไม่ (เดาเอาว่าใช่) และผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าเมื่อคุณอ่านเรื่องของเธอจบทั้งหมดแล้วจะมีความเห็นหรือความรู้สึกอย่างไร
แต่ไม่ว่าจะรู้สึก หรือเคยรู้สึกอย่างไรต่อกรณีปัญหาของเธอ (ซึ่งผมก็มีสิ่งที่ผมคิดในใจเหมือนกัน) ผมคิดว่าอย่างน้อยที่สุดคือการได้ ‘รับฟัง’ เธอด้วยความตั้งใจสักครั้ง
ส่วนฟังแล้วจะรู้สึกอย่างไร เข้าใจหรือไม่ นั่นไม่ใช่ปัญหา และผมก็เชื่อว่าโอซากะเองก็ไม่คิดว่ามันเป็นปัญหาเช่นกัน
หวังว่าเธอจะเข้มแข็งขึ้น และหวังว่าเรื่องของเธอจะทำให้คนที่มีปัญหาแบบเดียวกับเธออีกมากมายเข้มแข็งขึ้น และสำคัญที่สุดคือคนที่ไม่มีปัญหาจะเข้าใจคนที่เป็นแบบเธอมากขึ้น
คนเราไม่ต้องโอเคกับทุกเรื่องก็ได้ – จริงๆ นะ
อ้างอิง: