จะเห็นได้ชัดว่าในช่วง 2-5 ปีที่ผ่านมา กลุ่มสินค้า Eyewear ได้ก้าวมามีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนยอดขายให้กับหลายแบรนด์ลักชัวรีแถวหน้าของวงการ เพราะด้วยราคาที่เข้าถึงง่ายที่เรียกว่า Entry Point ซึ่งสามารถดึงคนให้มาเป็นลูกค้าใหม่ได้ง่าย แต่ขณะเดียวกัน สำหรับคนที่ลงทุนซื้อแว่นตาอยู่เป็นประจำด้วยปัจจัยของเรื่องคุณภาพและฟังก์ชัน ก็จะรู้ดีว่าแว่นของแบรนด์แฟชั่นอาจไม่ได้ตอบโจทย์สิ่งนั้นมากนัก เพราะจะเน้นที่ดีไซน์ ความสไตลิช และอะไรที่ตะโกนกับตัวโลโก้เพื่อให้คนรู้ว่าใส่แบรนด์อะไร แต่หากต้องการแบรนด์แว่นพรีเมียมอีกขั้น หนึ่งในตัวเลือกก็ต้องเป็นอาทิเช่น MYKITA จากประเทศเยอรมนีที่มาพร้อมวัสดุเบา แต่ทนทาน และใช้เทคโนโลยีแบบระบบบานพับไร้สกรู (Screwless Hinge)
ล่าสุด MYKITA ก็ได้เปิดร้านสาขาที่สองในประเทศไทย ณ CentralWorld ซึ่งก็ถือว่าครบครันที่สุดทั้งในเรื่องตัวเลือกและบริการการวัดสายตาต่างๆ โดยทาง THE STANDARD POP ก็เพิ่งได้มีโอกาสพูดคุยในหลากหลายประเด็นกับ Moritz Krüger หนึ่งในผู้ก่อตั้งและครีเอทีฟไดเรกเตอร์ของ Mykita ซึ่งเขาก็ได้เผยหลายแง่มุมเกี่ยวกับการสร้างแบรนด์ การใช้ความคิดสร้างสรรค์ และการที่แบรนด์ยังคงเป็นอันดับต้นๆ ของวงการแบบอิสระที่ไม่ได้ต้องอยู่ภายใต้เครือยักษ์ใหญ่
ร้าน MYKITA ที่ CentralWorld
รู้สึกอย่างไรบ้างกับการมาเที่ยวประเทศไทยครั้งแรก
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกหรอกครับ ครั้งแรกที่ผมมาน่าจะราว ๆ ปี 2016 เพราะตอนนั้น ฉลองครบรอบ 10 ปีของ Mykita ที่ประเทศไทย เพื่อนสนิทของผมเป็นคนนำแบรนด์เข้ามาในไทยเป็นคนแรก และนั่นคือครั้งแรกที่ผมได้มาที่นี่ ผมประทับใจมากครับ ผมได้เห็นหลายอย่างเกิดขึ้นกับแบรนด์ รวมถึงได้เจอกับทีมงานที่ปกติไม่ค่อยได้ไปร่วมงานโชว์ระดับนานาชาติ พวกเขาให้ความรู้สึกเหมือน “ครอบครัว MYKITA” ขนาดย่อมที่นี่เลยครับ หลายคนทำงานกับเรามานานมาก และผมก็รู้สึกได้ว่าลูกค้าที่นี่ชื่นชอบแบรนด์ของเราอย่างเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าเส้นทางการพัฒนาแบรนด์ของเราจะไม่ได้เกิดจากกลยุทธ์ใหญ่โตอะไร แต่ก็เป็นการเรียนรู้และสร้างทุกอย่างขึ้นมาด้วยตัวเอง และเราก็มีลูกค้าประจำที่กลับมาซื้อซ้ำตลอดหลายปี
และแน่นอนครับ เมื่อพูดถึงเมืองไทย สิ่งที่ผมรู้สึกทันทีคือความเปิดกว้าง ความใจดีของทีมงาน ความทุ่มเทในรายละเอียด รวมถึงความอบอุ่นของผู้คนที่นี่ ทุกอย่างน่าประทับใจจริง ๆ ครับ ประเทศไทยเต็มไปด้วยผู้คนที่อบอุ่นและใจดีครับ
จำได้ว่าเคยสัมภาษณ์คุณมาก่อนผ่านอีเมลเมื่อราว ๆ 7 ปีที่แล้ว ช่วงก่อนโควิด อยากทราบว่าตั้งแต่ก่อนโควิดจนถึงตอนนี้ MYKITA มีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง?
ผมคิดว่าช่วงโควิดเป็นเวลาที่ท้าทายสำหรับคนทั้งโลก และสำหรับธุรกิจของเราด้วย ถ้ามองในแง่ดี คุณจะได้เรียนรู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้คุณแข็งแกร่ง อะไรคือสิ่งสำคัญที่คุณยึดมั่นไว้ในเวลาลำบาก สิ่งที่เราตระหนักได้ชัดคือ ธุรกิจของเราที่ทำงานด้วยความซื่อสัตย์และความโปร่งใส ตั้งแต่ขั้นตอนการออกแบบจนถึงการผลิตทั้งหมดในเบอร์ลิน ถือเป็นสิ่งที่ไม่เหมือนใครจริง ๆ เพราะเรามี “ครัว” ของตัวเองที่เบอร์ลิน ที่ที่เราสร้างสรรค์วัตถุดิบ เทคนิคการประกอบ และวัสดุที่พัฒนาขึ้นมาเอง เพื่อให้ได้แว่นตาที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของเรา ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่หาได้ยาก
สิ่งที่เรายึดมั่นมาตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมา คือความซื่อสัตย์ จริงใจ และต่อยอดให้แข็งแกร่งยิ่งกว่าเดิม นั่นหมายถึงการลงทุนเพิ่มในด้านการผลิต เทคโนโลยี นวัตกรรม รวมไปถึงการขยายรีเทล เพื่อสร้างพื้นที่ที่เราจะได้แลกเปลี่ยนและเรียนรู้จากลูกค้าโดยตรง รับฟีดแบ็ก และทำให้แบรนด์ได้เข้าถึงลูกค้ามากขึ้น
แน่นอนว่าในตอนนั้นบริษัทเราเหนียวแน่นกันมาก ทุกคนต่างเผชิญความท้าทาย แต่เมื่อพวกเราผ่านมันไปได้ด้วยกัน มันทำให้เราเติบโตและแข็งแกร่งขึ้น ทุกวิกฤติกลายเป็นแรงบันดาลใจแก่พวกเรา มันอาจฟังดูแปลก แต่จริง ๆ แล้ว มันคือการบังคับให้คุณต้องหาทางออกใหม่ ๆ ซึ่งพวกเราก็เป็นทีมที่เก่งในการช่วยกันหาทางออกและก้าวผ่านปัญหาไปด้วยกันครับ
ร้าน MYKITA ที่ CentralWorld
คุณพูดถึงงานฝีมือ นวัตกรรม และอีกมากมาย ซึ่งตอนนี้ทั้งโลกก็กำลังพูดถึง AI กันมากขึ้น อยากรู้ว่าแบรนด์ MYKITA ซึ่งเป็นที่รู้จักในการใช้เทคนิคใหม่ๆ สร้างสรรค์แว่นตานั้น เคยใช้ AI ในการทำงาน หรือมีมุมมองต่อ AI อย่างไรบ้าง?
ผมมีจุดยืนที่ชัดเจน แต่ก็ยังหาความรู้ใหม่อยู่ทุกวัน ผมคิดว่า AI นั้นมีประโยชน์แตกต่างกันไปตามแต่ละสาขาที่คุณนำไปใช้ ในหลาย ๆ ด้าน มันช่วยลดขั้นตอนการทำงาน ทำให้มนุษย์สามารถนำเวลาและทักษะของตัวเองไปใช้ในด้านอื่น ๆ ที่มีคุณค่ามากขึ้น
แต่ถ้าพูดถึงธุรกิจของผม โดยเฉพาะในกระบวนการออกแบบและองค์ประกอบเชิงสุนทรีย์ต่าง ๆ ผมมองว่าทุกผลิตภัณฑ์และทุกการออกแบบล้วนมาจาก “ส่วนผสม” ที่หลากหลาย ส่วนผสมเหล่านี้มีทั้งแบบที่จับต้องได้ เช่น วัสดุที่เลือกใช้ โครงสร้าง และเทคโนโลยีที่นำมาประกอบ และแน่นอนว่ายังรวมถึงส่วนผสมที่เป็นแนวคิดด้วย เช่น เหตุผลที่คุณสร้างผลิตภัณฑ์นี้ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขปัญหาเฉพาะกลุ่ม การเติมเต็มไลน์สินค้า หรือแม้แต่การสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ทุกอย่างล้วนมีส่วนผสมของมันเอง
ในมุมนี้ ผมมองว่า AI ก็เหมือน “ส่วนผสม” หนึ่งที่ทำหน้าที่เป็นแรงบันดาลใจ มันช่วยหาไอเดียหรือมุมมองใหม่ ๆ กับเราได้ แต่สุดท้ายทุกอย่างต้องผ่าน “การกลั่นกรองโดยมนุษย์” อยู่ดี เราอาจหยิบบางส่วนมาใช้ แล้วผสมเข้ากับองค์ประกอบอื่น ๆ จนกลายเป็น “สูตรใหม่” ก็ได้ แต่ผมไม่เชื่อว่ามันควรจะเป็นผู้สร้างผลงานสำเร็จรูปแทนมนุษย์
ที่ผ่านมา เราก็เคยลองใช้ AI เล็ก ๆ น้อย ๆ เช่น สร้างภาพสำหรับโปรเจกต์ทดลอง ซึ่งก็เป็นเรื่องสนุก ๆ เพราะคุณต้องเรียนรู้วิธีป้อนองค์ประกอบต่าง ๆ แล้วดูผลลัพธ์ที่ออกมา เหมือนใส่วัตถุดิบลงในเครื่องปั่น แล้วได้เมนูใหม่ ๆ กลับมา
แน่นอนครับ AI เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผู้บริโภคมากขึ้นเรื่อย ๆ และจะกลายเป็นเครื่องมือที่มีอิทธิพลมากที่สุดในอนาคต
MYKITA HAUS สำนักงานใหญ่ของแบรนด์ที่เบอร์ลิน
MYKITA ดูไม่ได้เน้นการเติบโตแบบหวือหวา ไม่ได้เร่งขยายสาขาทั่วโลก หรือทำแคมเปญการตลาดแบบไวรัลมากมาย ทำไมคุณถึงเลือกให้การเติบโตของแบรนด์เป็นไปอย่าง “ค่อยเป็นค่อยไป” และ “มั่นคง” แทนที่จะเติบโตอย่างรวดเร็ว
เหตุผลมีหลายอย่างครับ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ตอนนี้ธุรกิจของเรามีแรงงานสายการผลิตที่เบอร์ลินมากกว่า 250 คน ถือว่าเป็นความรับผิดชอบที่ใหญ่มาก และเราเชื่อมั่นว่าเรามีศักยภาพในการผลิตอย่างเต็มที่ ดูจากจำนวนออร์เดอร์ที่เพิ่มขึ้นและการเติบโตของทีม เพราะทุกครั้งที่เราขยายทีม เราไม่ได้จะเพิ่มแต่ยอดขาย แต่ต้องขยายทั้งองค์กรไปพร้อมกันด้วย ต้องมีการจ้างคนใหม่ ฝึกอบรม และพัฒนาเขาไปสู่แผนกต่าง ๆ ดังนั้น การเติบโตจะต้องต่อยอดได้และต้องมั่นคง ไม่ใช่ว่าปีนี้โตเร็วเกินไป แล้วปีถัดไปหดตัวลง 10-20% มันจะกระทบทั้งระบบทันที
สำหรับผม การเติบโตแบบ Sustainable และ Organic คือหัวใจที่จะรักษาความรับผิดชอบต่อไปไว้ได้ และที่สำคัญอีกอย่างคือ เราอยากให้ลูกค้าที่เลือก MYKITA อยู่กับเราให้นานที่สุด ไม่ใช่ซื้อครั้งเดียวแล้วหายไป แว่นของเราออกแบบมาให้เป็นเหมือนส่วนหนึ่งของบุคลิกภาพผู้สวมใส่ เป็นดีไซน์ที่ไม่ฉูดฉาด พอได้ใส่แล้วจะรู้เลยว่า มันสามารถเข้ากับคุณได้ทุกลุคครับ
ดังนั้น ถ้าเลือกได้ ผมอยากมีลูกค้าใหม่ 30 คนที่กลับมาซื้อคู่ที่สอง ที่สาม และกลายเป็นลูกค้าประจำ มากกว่ามีลูกค้าใหม่ 100 คน แต่ครึ่งหนึ่งไม่กลับมาอีกเลย
ในเรื่องการขยายสาขาไปทั่วโลก เราเลือกที่จะควบคุมการกระจายสินค้าเอง ไม่ใช่ไปตามกระแสหรือเทรนด์ระยะสั้น เพราะสิ่งที่เราสร้างขึ้นไม่ใช่แฟชั่นตามฤดูกาล แต่คือดีไซน์ที่ไม่มีวันตกยุค และความคงทน เราจึงทำงานตรงกับทีมขายของเราเอง หรือกับพาร์ทเนอร์ที่มีแนวคิดและความรับผิดชอบเหมือนกัน นั่นทำให้เราคุมจังหวะการเติบโตได้ และถึงแม้ว่าเราจะมีเป้าหมายที่ใหญ่ แต่สิ่งที่เราต้องการจริง ๆ คือสร้างแรงบันดาลใจและทำให้ลูกค้า Mykita มีความสุขมากขึ้นในระยะยาว มากกว่าเป็นไวรัลในระยะสั้นครับ
งานเปิดคอลเล็กชัน MYKITA x RIMOWA ที่ MYKITA HAUS
ทุกครั้งที่คุณเลือกแบรนด์มาทำคอลเลกชันร่วมกับ MYKITA รู้สึกว่าคุณเลือกได้อย่างพิถีพิถันมาก แต่ละแบรนด์ก็ต่างกันไป ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สายแฟชั่นเท่านั้น อยากรู้ว่าคุณใช้หลักการอะไรในการตัดสินใจร่วมงานต่างๆ ?
สิ่งแรกที่ผมมองหาคือ “เรากำลังสร้างสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนจริง ๆ หรือเปล่า?” เพราะความร่วมมือที่ดีควรจะเกิดขึ้นเพื่อสร้างผลงานใหม่ที่มีคุณค่า ไม่ใช่แค่ทำเพื่อการตลาด แต่เป็นการออกแบบและสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกเซอร์ไพรส์และตื่นเต้น ซึ่งผมก็เชื่อว่า การคอลแลบที่แท้จริงควรเกิดได้ในทุกสาขา ไม่ว่าจะเป็นแฟชั่น การผลิต ดีไซน์ ศิลปะ หรือแม้แต่วงการดนตรี
ผมชอบเปรียบการทำงานเหมือนการทำอาหาร ทุกพาร์ตเนอร์ที่เข้ามาก็เป็นเหมือน “วัตถุดิบ” ใหม่ ๆ ที่ช่วยเติมเต็มสูตรให้ลงตัวมากขึ้น ตัวอย่างเช่นเราได้คอลแลบกับ Rimowa ที่เป็นแบรนด์ดังในด้านการผลิตและวัสดุที่แข็งแรง ถ้าคุณได้ทำงานกับบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการผลิต การคิดค้นวัสดุ และการออกแบบผลิตภัณฑ์อย่าง Rimowa คุณจะเห็นว่าเรามีความคล้ายกันอยู่ถึง 100% พวกเขาผลิตทุกอย่างที่เมืองโคโลญจน์ ส่วนเราอยู่ที่เบอร์ลิน และความเหมือนกันเล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ถูกนำมาใช้ในคอลเลกชันที่มาพร้อมพิกัดสถานที่ผลิตของทั้งสองแบรนด์นี้
เราเริ่มต้นด้วยการเรียนรู้กระบวนการผลิตของกันและกัน ผมไปที่โคโลญจน์ 5-6 ครั้งเพื่อเรียนรู้การผลิตอะลูมิเนียม ซึ่งเป็นวัสดุที่ใหม่สำหรับเรา จากนั้นเราก็มองถึงประโยชน์ของวัสดุว่า “จะเอาอะลูมิเนียมมาทำอะไรกับแว่นตาได้บ้าง?” มันเป็นวัสดุที่แข็งแรงและเบามาก แต่ไม่ยืดหยุ่นเลย และเนื่องจากรูปหน้าของทุกคนไม่เหมือนกัน เราจึงต้องเอามาใช้ในรูปแบบผสม (Hybrid Chassis)
กรอบแว่นตาที่มีวงแหวนอะลูมิเนียมนี้เบามาก ให้ความแข็งแรง ซึ่งถูกเอาไปติดไว้กับสเตนเลสสตีลของ Mykita ดังนั้นส่วนที่ต้องยืดหยุ่นและปรับให้เข้ากับใบหน้าเพื่อความสบายก็ยังคงเป็นวัสดุของเรา ในขณะที่เราใช้ส่วนผสมของ Rimowa ซึ่งก็คืออะลูมิเนียม เข้ามาเป็นองค์ประกอบหรือฟังก์ชัน ในขณะเดียวกันก็สร้างความงามที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เราไม่ได้ปิดบังเนื้อวัสดุ แต่ใช้พื้นผิวอะลูมิเนียมดิบ ๆ เพื่อสะท้อนถึงอีกแบรนด์หนึ่ง และสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ดีไซน์ใหม่ที่สามารถอยู่กับลูกค้าได้ตลอดไปเหมือนกระเป๋าเดินทาง Rimowa หรือผลิตภัณฑ์ Mykita ครับ
อีกโปรเจกต์ที่ผมภูมิใจมากคือการร่วมงานกับศิลปินเกาหลีผู้ยิ่งใหญ่ พัค ซอ-โบ (Park Seo-bo) ผู้บุกเบิก Korean minimalism แม้ท่านจะจากไปแล้ว แต่ก่อนหน้านั้นเราได้แลกเปลี่ยนกันด้วยวิธีที่เรียบง่าย ท่านนำต้นแบบแว่นของเราไปเพนต์ด้วยมือตัวเอง เป็นผลงานสุดท้ายที่มีความพิเศษและมีความหมายมาก ๆ ครับ
เรายังเคยทำงานกับนักดนตรีและแฟชั่นเฮาส์อื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งทุกครั้งผมจะมองหาความตั้งใจและจริงใจจากทั้งสองฝ่ายที่พร้อมจะ “สร้างสิ่งใหม่” ไปด้วยกัน
ในเชิงแบรนด์ การคอลแลบช่วยให้ Mykita ที่เป็นแบรนด์เล็ก ๆ แต่มีตลาดทั่วโลก ได้เข้าถึงลูกค้าใหม่ ๆ มากขึ้นโดยไม่ต้องเสียค่าการตลาด เช่นเดียวกับที่ Rimowa ได้ขยายเข้ามาในจักรวาลของเรา และเราก็เข้าไปอยู่ในจักรวาลของพวกเขา การแลกเปลี่ยนแบบนี้มีประสิทธิภาพสูงและตรงกลุ่มจริง ๆ เพราะลูกค้าของ Mykita หลายท่านก็มีแนวโน้มที่จะเป็นลูกค้าของ Rimowa มันคือการเติบโตที่ “ตรงกลุ่ม” มากกว่าการทุ่มการตลาดแบบหว่านแหไปทั่ว แล้วไปรบกวนคนที่ไม่ได้สนใจจริง ๆ ครับ
คอลเล็กชันล่าสุดกับ MYKITA x LEICA
คุณเคยคิดอยากจะขายแบรนด์ MYKITA ให้เป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มบริษัทหรู (Luxury Conglomerate) บ้างไหม?
ผมไม่คิดที่จะขาย MYKITA โดยสิ่งสำคัญที่สุดคือไม่ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น เราต้องเข้าใจว่าอะไรคือรากฐาน, เคล็ดลับ, และสูตรสำเร็จของเรา และการที่เราสามารถพึ่งพาตัวเองได้ การที่เราควบคุมตัวเองได้ครบทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบไปจนถึงการผลิตทั้งหมดด้วยตัวเอง มันคือจักรวาลที่ทำให้เราเป็นเรา และท้ายที่สุดคือ บริบทภายนอกนั้น ไม่สำคัญเท่ากับการรักษาความเป็นอิสระและเป็นตัวเองครับ
จำได้ว่าตอนสัมภาษณ์คุณทางอีเมลครั้งก่อน มีรูปคุณยืนอยู่หน้าบอร์ดที่เขียนว่า 2027 ตอนนี้เราอยู่ที่ปี 2025 แล้ว อยากทราบว่า ยังมีอะไรเหลืออีกบ้างที่แบรนด์ MYKITA อยากทำให้สำเร็จภายในสองปีนี้?
ก่อนอื่นเลย มันเป็นเรื่องบังเอิญมากกว่าครับ ตัวเลขพวกนั้นมันแค่ลอยอยู่รอบ ๆ ตอนนั้นน่าจะเป็นปี 2017 ด้วยซ้ำ แล้วผมก็บวกเพิ่มอีก 10 ปีเข้าไป เหมือนเป็นการมองไปข้างหน้าอีก 10 ปี ไม่ได้มีความหมายพิเศษอะไร แค่เป็นบรรยากาศในสตูดิโอออกแบบของเรา จริง ๆ มีไว้ก็เพื่อย้ำกับตัวเองและทีมเสมอว่า เราไม่ได้ทำงานแค่เพื่อคอลเลกชันต่อไป แต่เราต้องทำงานเผื่ออนาคตด้วย
เพราะถ้าคุณอยากให้นวัตกรรมเกิดขึ้นจริง ๆ ทุกอย่างต้องลงลึกกว่านั้น และถ้าคุณต้องเป็นผู้ผลิตเองด้วย มันยิ่งต้องใช้เวลา อย่างตอนเราทำงานกับ Rimowa กว่าจะพร้อมปล่อยผลิตภัณฑ์ออกมาใช้เวลาถึง 3 ปีเต็ม ระหว่างนั้นก็ต้องมีทั้งการปรับสายการผลิต การทดสอบ และการสนับสนุนจากทีมเบื้องหลังทั้งหมด
ดังนั้น ผมคิดว่าเราสบายใจกับเส้นทางที่เราเลือกเดิน แน่นอนว่ามีสิ่งใหม่ ๆ รออยู่อีกมากมาย ทั้งคอลเลกชันใหม่ การคอลแลบใหม่ ๆ รวมถึงการเปิดร้านในมหานครใหญ่ ๆ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดจริง ๆ ก็คือ เมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้ว เราได้ย้ายบริษัททั้งหมดในเบอร์ลินไปอยู่ตึกใหม่ใจกลางเมือง ติดกับแม่น้ำชเปร สำหรับผมแล้ว มันคือสถานที่ผลิตที่งดงามที่สุดในโลก และมันคือ “หลักฐานของอนาคต” ที่เรากำลังก้าวไป ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นที่ตั้งใจจะทำต่อจากนี้ คือ ครัวของ MYKITA จะส่งต่อ “เมนูใหม่” ที่เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ นวัตกรรมใหม่ ๆ ออกมาให้ได้เห็นกันแน่นอนครับ
ภาพ: MYKITA