กลุ่มเจ้าหน้าที่ที่ให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชนชาวเมียนมาเตือนว่า ‘เมียนมาอาจเจอกับความสูญเสียครั้งใหญ่’ หลังจากที่เผชิญกับพายุไซโคลนโมคาที่มีความรุนแรงสูงเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (14 พฤษภาคม)
ไซโคลนโมคาพัดขึ้นฝั่งระหว่างเมืองค็อกซ์บาซาร์ (Cox’s Bazar) ในบังกลาเทศ กับเมืองซิตตเว (Sittwe) ในรัฐยะไข่ของเมียนมา โดยมีความเร็วลมสูงถึง 195 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถือเป็นพายุลูกใหญ่ที่สุดที่พัดถล่มอ่าวเบงกอลในรอบกว่าทศวรรษ จนเมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางการเมียนมาและบังกลาเทศได้สั่งเร่งอพยพประชาชนหลายแสนคนก่อนที่พายุจะพัดขึ้นฝั่ง
อิทธิพลจากพายุทำให้เกิดลมกระโชกแรง ฝนตก น้ำท่วม และดินถล่ม โดยในเมียนมานั้นมีบ้านเรือนที่พังเสียหายหลายร้อยหลัง ต้นไม้หักโค่น เสาไฟฟ้าล้มระเนระนาด ขณะที่การสื่อสารเสียหายอย่างหนักในรัฐยะไข่ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของผู้พลัดถิ่นหลายแสนคน
ข้อมูลจากรัฐบาลเงาของเมียนมาระบุว่า วานนี้ (16 พฤษภาคม) มีผู้เสียชีวิตจากไซโคลนโมคาอย่างน้อย 400 คน และยังมีผู้สูญหายอีกจำนวนหนึ่งซึ่งไม่สามารถประเมินตัวเลขได้แน่ชัด อย่างไรก็ตาม น่าสังเกตว่าตัวเลขจากรัฐบาลเงานั้นแตกต่างกับตัวเลขที่รัฐบาลทหารเมียนมารายงานผ่านสถานีโทรทัศน์ Myawaddy TV ซึ่งระบุว่ามีผู้เสียชีวิตเพียง 3 คน และบาดเจ็บ 13 คน
ท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าว สื่อต่างประเทศหลายแห่งจึงได้พยายามหาแหล่งข่าวเพื่อยืนยันตัวเลขผู้เสียชีวิตที่แน่ชัด ยกตัวอย่างเช่นสำนักข่าว CNN ที่สอบถามไปยังแหล่งข่าวใกล้ชิด ซึ่งระบุว่ามีเหยื่อซึ่งเป็นชาวโรฮิงญาเสียชีวิตจำนวนมาก และร่างของผู้เสียชีวิตเหล่านี้ก็ถูกฝังตามประเพณีทางศาสนาเรียบร้อยแล้ว ขณะที่สำนักข่าว AFP ได้รวบรวมตัวเลขผู้เสียชีวิตจากผู้นำในท้องถิ่น ซึ่งระบุว่ามีผู้เสียชีวิตแล้วอย่างน้อย 81 คน
ด้าน มิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมา ได้เดินทางเยือนเมืองซิตตเวแล้ว เพื่อประเมินความเสียหายในเบื้องต้นและมอบของบริจาคให้กับผู้ประสบภัยด้วย
“ผมกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้เลย” ผู้อาศัยในเมืองซิตตเว เมืองเอกของรัฐยะไข่กล่าวกับ CNN โดยเขาระบุว่าตัวเขาได้เห็นร่างของเด็กๆ คนชรา และสตรีมีครรภ์หลายคนที่จากไปเพราะพายุลูกนี้ ส่วนคนที่ยังอยู่ก็ต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก เพราะอาหารไม่มีเพียงพอและหลายคนไร้ที่อยู่อาศัย
ทั้งนี้ เมียนมากำลังเผชิญกับสถานการณ์ที่ยากลำบาก โดยข้อมูลจากสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ OCHA ระบุว่า มีประชาชนราว 6 ล้านคนในภูมิภาคแห่งนี้ที่ต้องการความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ขณะที่ในจำนวนดังกล่าวมี 1.2 ล้านคนที่ต้องพลัดถิ่นในประเทศ เนื่องจากเหตุความขัดแย้งทางชาติพันธุ์
ภาพ: SAI AUNG MAIN / AFP
อ้างอิง:
