ประเด็นสำคัญ
หลังมีการประกาศว่าการเลือกตั้งในเมียนมาจะมีขึ้นในระยะแรกวันที่ 28 ธันวาคม 2025 นานาประเทศต่างพากันจับตามองและตั้งข้อสงสัยว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะเป็นก้าวสําคัญสู่การคืนประชาธิปไตยในเมียนมา หรือแท้จริงแล้วเป็นเพียงภาพลวงตาที่กองทัพสร้างขึ้นเพื่อหาความชอบธรรมให้กับรัฐบาลทหาร
ล่าสุด คณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งสหภาพ (UEC) ของเมียนมา ได้ประกาศยกเลิกความพยายามจัดเลือกตั้งในพื้นที่ซึ่งรัฐบาลส่วนกลางสูญเสียการควบคุมแล้ว ซึ่งรวมถึง 121 เขตเลือกตั้ง ในบางส่วนของรัฐคะฉิ่น กะเหรี่ยง ฉาน และยะไข่ ตลอดจนหลายพื้นที่ในภูมิภาคสะกาย มะเกว และมัณฑะเลย์
พื้นที่ดังกล่าวล้วนเป็นบริเวณที่กำลังเผชิญความขัดแย้ง หรืออยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายต่อต้านและกองกำลังชาติพันธุ์ติดอาวุธ เหตุการณ์นี้จึงทําให้การเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้น “ไม่สามารถจัดให้ครอบคลุมทั่วทั้งประเทศได้” และเสียงของผู้คนนับล้านอาจถูกทําให้หายไปจากสมการการเมืองอย่างสิ้นเชิง
ท่ามกลางไฟสงครามและความไม่ไว้วางใจที่ปกคลุมไปทั่วประเทศ สถานการณ์ในเมียนมาเป็นอย่างไร? เกิดอะไรขึ้นบ้างในประเทศ หลังกองทัพต้องการที่จะจัดการเลือกตั้งให้ได้
บริบทของการเลือกตั้ง
ผศ.ดร.ลลิตา หาญวงษ์ อาจารย์ประจำภาควิชาประวัติศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ได้ให้ความเห็นว่า การเลือกตั้งในเมียนมาเป็นที่แน่นอนว่าจะเกิดขึ้นจริง แต่จะไม่เป็นไปตามนิยามสากลของประชาธิปไตย เนื่องจากเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขที่ “กองทัพสามารถควบคุมกลไกทั้งหมดได้อย่างเบ็ดเสร็จ” โดยเฉพาะในส่วนของคณะกรรมการเลือกตั้ง ซึ่งไม่ใช่เรื่องใหม่ของเผด็จการที่มักจะสร้างกลไก กติกา และสถาบันขึ้นมาเพื่อค้ำจุนอำนาจของตนเอง หากมองในเชิงเปรียบเทียบ ประเทศกัมพูชาและอินโดนีเซียในสมัยซูฮาร์โตล้วนเคยใช้รูปแบบนี้เช่นกัน ภายในเมียนมาจึงเต็มไปด้วยกลไกต่างๆ ที่ช่วยให้กองทัพสามารถสืบทอดอำนาจต่อไปได้
ทางด้านของ รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช อาจารย์ประจำโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาลัยธรรมศาสตร์ อธิบายถึงสาเหตุที่กองทัพต้องจัดการเลือกตั้งในช่วงนี้ว่า รัฐบาลทหารต้องการจะสร้าง “ระบอบลูกผสม” (hybrid regime) ที่เผด็จการและประชาธิปไตยอยู่ร่วมกัน เพื่อลดแรงกดดันทั้งจากประชาชน ฝ่ายต่อต้าน และประชาคมโลก
รศ.ดร.ดุลยภาค ยังชี้ให้เห็นว่า การเลือกตั้งอาจจะ “ลดพลังของฝ่ายต่อต้าน” และทำให้สงครามกลางเมืองอ่อนแรงลง เนื่องจากอาจารย์ประเมินว่า การเลือกตั้งอาจแบ่งฝ่ายต่อต้านออกเป็นสองกลุ่ม คือ 1. กลุ่มหัวรุนแรง (radical) ที่ปฏิเสธการเลือกตั้งและยืนยันการปฏิวัติ 2.กลุ่มสายกลาง (moderate) ที่อาจยอมผ่อนปรนหรือเปิดเจรจากับกองทัพเมื่อเห็นว่ามีการเลือกตั้งแล้ว ซึ่งจะทำให้ภาพรวมของฝ่ายต่อต้านอ่อนแอลง นอกจากนี้ หากฝ่ายต่อต้านยังใช้ความรุนแรง กองทัพก็สามารถอ้างความชอบธรรมได้ว่า ‘มีการเลือกตั้งแล้ว ทำไมยังต่อต้านด้วยการใช้กำลัง’
อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร.ลลิตา อธิบายเพิ่มเติมว่า ปัจจัยสำคัญที่บีบให้กองทัพต้องจัดการเลือกตั้งคือ “แรงกดดันจากจีน” กล่าวคือ ในเชิงยุทธศาสตร์ (Strategic position) จีนมักไม่ลังเลที่จะเข้ามามีบทบาทในประเทศต่างๆ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตน ตัวอย่างเช่น ในปี 2023 ระหว่างปฏิบัติการ 1027 จีนเคยสนับสนุนชนกลุ่มน้อยมาแล้ว เนื่องจากประเมินว่ารัฐบาลของกองทัพไม่สามารถไปต่อได้ แต่หลังจากนั้น เมื่อจีนทบทวนผลลัพธ์แล้วพบว่าการพึ่งพาชนกลุ่มน้อยเพียงอย่างเดียวไม่อาจรับประกันผลประโยชน์ของตน โดยเฉพาะในรัฐฉานตอนบนและรัฐอาระกัน จีนจึงเปลี่ยนยุทธศาสตร์เป็นเข้าหาทั้งชนกลุ่มน้อยและรัฐบาลทหารพร้อมกัน รวมถึงผลักดันให้เกิดการเลือกตั้งขึ้น
“อันที่จริง แม้กองทัพเมียนมาจะมีความหวาดระแวงต่อจีน แต่ด้วยสถานการณ์ปัจจุบัน พวกเขาไม่มีทางเลือกมากนัก เพราะหากไม่เข้าหาจีน ชนกลุ่มน้อยก็อาจจะเข้มแข็งขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลเมียนมาไม่สามารถยอมรับได้ ดังนั้นการมีปัจจัยภายนอกอย่างจีนเข้ามากดดันและผลักดันอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้การจัดเลือกตั้งในช่วงเวลานี้เป็นไปตามกลยุทธ์ของทั้งกองทัพและจีน” ผศ.ดร.ลลิตา กล่าว
ปราศจากตัวเลือกทางการเมือง
จากข้อมูลของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในขณะนี้มีพรรคการเมืองที่จดทะเบียนลงสมัครแล้วกว่า 60 พรรค โดยมีเพียง 9 พรรคที่มีแผนจะส่งผู้สมัครทั่วประเทศ ทั้งที่การเลือกตั้งในปี 2020 มีผู้สมัครกว่า 7,000 คน จากพรรคการเมืองกว่า 90 พรรค
สถานการณ์ดังกล่าวสัมพันธ์โดยตรงกับ “กฎหมายการจดทะเบียนพรรคการเมือง” ที่รัฐบาลทหารบังคับใช้หลังจากรัฐประหาร โดยเนื้อหาในฉบับแรกกำหนดให้พรรคการเมืองระดับชาติ ต้องรวบรวมสมาชิกอย่างน้อย 100,000 คน ภายใน 90 วัน หลังได้รับอนุมัติจดทะเบียน และต้องเปิดที่ทำการอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของ 330 เขตทั่วประเทศ ภายใน 6 เดือน นอกจากนี้ยังบังคับให้พรรคการเมืองเดิมทุกพรรคต้อง “ลงทะเบียนใหม่” กับคณะกรรมการการเลือกตั้งแห่งสหภาพ (UEC) ที่แต่งตั้งโดยกองทัพ ซึ่งข้อกฎหมายนี้เองที่นำไปสู่การยุบพรรค NLD ของนางอองซานซูจี ที่เคยชนะเลือกตั้งในปี 2020
ต่อมาในเดือนกรกฎาคม ปี 2025 รัฐบาลของกองทัพได้ประกาศใช้กฎหมายการจดทะเบียนพรรคการเมือง ฉบับแก้ไขเพิ่มเติม โดยเพิ่มอำนาจให้ กกต. สามารถยุบพรรคใดก็ตาม ที่ถูกกล่าวหาว่าทุจริตเลือกตั้ง หรือกระทำผิดกฎหมายในช่วงการลงคะแนนเสียง
รศ.ดร.ดุลยภาค มองปรากฎการณ์นี้ว่า กองทัพต้องการที่จะคัดเลือก หรือ “Screen” พรรคการเมือง ให้เหลือเฉพาะพรรคที่มีคุณสมบัติตามที่พวกเขากำหนดเท่านั้น ในขณะเดียวก็เป็นการลดคู่แข่งที่อาจเป็นภัยคุกคามต่อคะแนนเสียงของพวกเขา และกันไม่ให้ฝ่ายประชาธิปไตย หรือตัวแทนฝ่ายต่อต้านต่างๆ เข้ามาในสนามการเลือกตั้ง เป็นอีกหนึ่งมาตรการเพื่อรับประกันชัยชนะของรัฐบาลทหาร
ทางด้านของ ผศ.ดร.ลลิตา มองว่า อีกสาเหตุที่ทำให้จำนวนพรรคการเมืองลดลงเป็นเพราะ นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลจำนวนมากถูกบีบให้หลบหนีออกนอกประเทศ จากการปราบปรามที่รุนแรง ส่วนใหญ่กลายเป็นสมาชิกขบวนการ CDM ที่พำนักอยู่ในพื้นที่ชายแดนไทย เช่น แม่สอดหรือเชียงใหม่ ขณะที่อีกหลายคนยื่นขอลี้ภัยในยุโรป อเมริกา และออสเตรเลีย โดยยังมีกลุ่มที่ถูกควบคุมตัวอยู่ เช่น อองซาน ซูจี และอดีตประธานาธิบดีวิน มินต์ การเลือกตั้งครั้งนี้จึงไม่อาจถือว่า “free and fair” ได้ตั้งแต่ต้น
สำหรับกฎหมายจำกัดพรรคการเมือง ผศ.ดร.ลลิตา กล่าวเสริมว่า ปรากฎการณ์นี้สะท้อนแนวทางที่กองทัพเมียนมาใช้มาตลอด นั่นคือ รัฐบาลทหารมีแนวโน้มที่จะเจรจาเฉพาะแค่กับกลุ่มที่สามารถควบคุมหรือคุยได้ ก่อนหน้านี้ กองทัพเคยเชิญตัวแทนจากกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ร่วมพูดคุยเพื่อปูทางไปสู่การทำข้อตกลงหยุดยิง (NCA) อีกครั้ง จะเห็นว่ามีการเชิญตัวแทนจากกลุ่มกะเหรี่ยงและกลุ่มฉาน แต่ไม่มีตัวแทนจากกลุ่มที่เป็นสายแข็ง (hardliner) อย่างกองกำลัง KNPP และ AA เลย โดยเฉพาะในกรณีของกองทัพอาระกัน (AA) ยิ่งชัดเจนว่าความสัมพันธ์กับรัฐบาลทหารแทบเป็นไปไม่ได้
มีข้อสังเกตว่า สถานการณ์นี้อาจสร้างแรงกดดันให้กับประชาชนเมียนมาผู้รักประชาธิปไตยอย่างมาก คำถามที่ตามมาคือ หากถึงวันที่ต้องตัดสินใจในคูหา พวกเขาจะต้องทำอย่างไรกับสิทธิที่มีอยู่ในมือ
อาจารย์ลลิตาได้ตอบคำถามนี้ว่า มุมมองของชาวเมียนมาในขณะนี้มีความโหยหาการเลือกตั้งอย่างมาก แม้พวกเขาจะรู้ดีว่าผลลัพธ์อาจไม่ได้สมบูรณ์แบบ แต่พวกเขาคาดหวังว่ามันจะนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่ดีกว่าเดิม (แม้เพียงแค่หนึ่งเปอร์เซ็นต์) พวกเขาก็พร้อมจะยอมรับ ความคาดหวังนี้จึงทำให้หลายคนยังอยากเดินเข้าสู่คูหาเลือกตั้ง แม้จะรู้ว่ามีความเสี่ยงก็ตาม
ระบบเลือกตั้งที่เปลี่ยนไป
ระบบเลือกตั้งของเมียนมาที่จะเกิดขึ้นในการเลือกตั้งครั้งนี้ เปลี่ยนแปลงไปจากครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง แต่เดิมเมียนมาใช้ระบบ First Past The Post หรือที่เรียกว่า “ผู้ชนะกินรวบ” (The Winner Takes All) กล่าวคือ พรรคที่ได้คะแนนสูงสุดในเขตเลือกตั้งหนึ่ง จะมีสิทธิได้ที่นั่งในสภา ขณะที่พรรคการเมืองอื่นที่ตามมาในอันดับสองหรือสามจะไม่มีสิทธิ์เลย ซึ่งพรรค NLD เคยได้รับประโยชน์จากระบบนี้มาโดยตลอด จากการแลนสไลด์จนครองเสียงข้างมากในสภาได้อย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม กองทัพเมียนมาได้ผลักดันให้มีการแก้ไขระบบเลือกตั้งใหม่ โดยเพิ่มการเลือกตั้งแบบสัดส่วนเข้ามาด้วย ระบบสัดส่วนนี้เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองที่ได้คะแนนรองลงมา เช่น อันดับสองหรือสาม สามารถแปลงคะแนนเสียงที่ได้รับเป็นที่นั่งในสภาได้ ไม่ได้เทคะแนนทิ้งน้ำเหมือนที่ผ่านมา
รศ.ดร.ดุลยภาค และ ผศ.ดร.ลลิตา ฉายภาพให้เห็นว่า เบื้องหลังที่แท้จริงของการปรับระบบเลือกตั้งคือ การป้องกันไม่ให้เกิดชัยชนะถล่มทลาย (landslide victory) แบบที่ NLD หรือฝ่ายประชาธิปไตยเคยทำได้ในอดีต เพราะระบบดังกล่าวมีแนวโน้มจะนำไปสู่รัฐบาลผสม และทำให้ไม่มีพรรคใดพรรคหนึ่งสามารถครองเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภา กองทัพจึงมั่นใจได้ว่าจะไม่ถูกลดทอนอำนาจจนเหลือเพียงเสียงส่วนน้อยเหมือนในอดีต
โดยกองทัพเมียนมาพยายามที่จะอธิบายการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ว่า เป็นการเปิดพื้นที่ให้สังคมที่มีความหลากหลายทางชาติพันธุ์และกลุ่มทางสังคมได้มีตัวแทนเข้าสู่สภา แม้ไม่ได้เป็นผู้ชนะอันดับหนึ่งก็ตาม
ข้อหาต่อต้านการเลือกตั้งที่รุนแรง
เมื่อปลายเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา รัฐบาลทหารได้ออกกฎหมายการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งกำหนดโทษรุนแรงสำหรับ “ผู้ที่ต่อต้านการเลือกตั้ง” ตั้งแต่จำคุกไปจนถึงประหารชีวิต เช่น จำคุก 5-10 ปี สำหรับการทำลายหีบบัตรหรือหน่วยเลือกตั้ง และจำคุก 10-20 ปี หากก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงต่อผู้มีสิทธิเลือกตั้งหรือเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง โดยหากการกระทำนั้นนำไปสู่การเสียชีวิต ผู้กระทำผิดอาจได้รับโทษสูงถึงขั้นประหารชีวิตได้
กฎหมายดังกล่าวได้มี “เหยื่อรายแรก” แล้ว ผู้ถูกตัดสินโทษคือ โก เน ธเวย์ (Ko Nay Thway) ประชาชนเมืองตองจี รัฐฉานใต้ โดยถูกตัดสินให้จำคุกเป็นเวลา 7 ปี ในฐานวิจารณ์การเลือกตั้ง จากการที่เขาได้แชร์คลิปกล้องวงจรปิดซึ่งถ่ายติดเหตุการณ์ปล้นลงบนเฟซบุ๊กของตัวเอง โดยเป็นวิดีโอที่คนร้ายสองคนกำลังทำร้ายผู้หญิงในเมืองล่าเสี้ยว
พร้อมกับเขียนประกอบโพสต์ว่า “ดูด้วยตาคุณเองเถอะ ถ้าพวกคุณ (รัฐบาลทหาร) ต้องการคะแนนเสียงจากประชาชน ก็จงคิดถึงการรับใช้ประชาชน” เนื้อหาดังกล่าวมุ่งเป้าวิจารณ์รัฐบาลทหารที่รณรงค์ให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง ทั้งที่ความปลอดภัยขั้นพื้นฐานยังไม่สามารถรับประกันได้
ต่อมา ในวันที่ 19 กันยายน 2025 กองทัพได้จับกุมชายอีกสองคน (Aung Ye Htut และ Yan Naing Kyi Win) จากการที่พวกเขาติดสติ๊กเกอร์ต่อต้านการเลือกตั้งในเขตไหลตะยา (Hlaing Tharyar) บริเวณนครย่างกุ้ง ทำให้ตอนนี้มีผู้ถูกดำเนินคดีจากกฎหมายปกป้องการเลือกตั้ง แล้วอย่างน้อย 3 คน
ในมุมมองของ รศ.ดร.ดุลยภาค เห็นว่า กฎหมายดังกล่าวเป็นความพยายามของทหารในการขจัดความเห็นต่างทางการเมือง และยังสะท้อนความคิดอันฝังรากลึกของกองทัพที่มักผูกตัวเองเข้ากับความมั่นคงของประเทศเมียนมา โดยมองว่าการวิจารณ์ทหารเท่ากับเป็นการคุกคามอธิปไตย ดังนั้นจึงออกกฎหมายเพื่อจำกัดการแสดงออก ในฐานะกลไกหนึ่งที่ใช้ปกป้องอำนาจของตน
ผศ.ดร.ลลิตา มองว่า กฎหมายนี้มีขึ้นเพื่อเอาไว้ขู่ประชาชน เสมือนการ “เขียนเสือให้วัวกลัว” เพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งหรือโฉ่งฉ่างจนเกินไป แต่อย่างไรก็ตาม การวิพากษ์วิจารณ์การเลือกตั้งยังคงมีอยู่ทั่วไปในบทสนาของผู้คนเมียนมา และจะยังคงมีอยู่ต่อไป
ไฟสงครามที่ยังประทุ
รัฐบาลทหารเมียนมาได้เร่งโจมตีพื้นที่ซึ่งอยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายต่อต้าน ด้วยการเปิดฉากโจมตีและทิ้งระเบิดอย่างต่อเนื่อง เพื่อพยายามจะยึดคืนพื้นที่ให้ได้มากที่สุดก่อนการเลือกตั้ง
ไม่นานมานี้ รัฐบาลทหารสามารถยึดคืนพื้นที่สำคัญหลายแห่งจากกองกำลังต่อต้านได้ เช่น ทาเบกจิน (Thabeikkyin) ในเขตมัณฑะเลย์, หน่องโจ (Nawnghkio) ในรัฐชานเหนือ และโมบเย (Mobye) ในรัฐชานใต้ พร้อมทั้งมีความคืบหน้าในการเข้าควบคุมหมู่บ้านหลายแห่งในรัฐคะฉิ่น
ในขณะเดียวกัน กองทัพยังคงเดินหน้าขยายการโจมตีเพื่อยึดพื้นที่ในหลายเขต เช่น ยะไข่, มัณฑะเลย์ และพะโค โดยมีการทิ้งระเบิดซ้ำๆ ใส่เมืองและหมู่บ้านที่อยู่ภายใต้ฝ่ายต่อต้าน กรณีที่ถูกพูดถึงอย่างมาก คือ เหตุการณ์โจมตีทางอากาศใส่โรงเรียนในรัฐยะไข่ เมื่อคืนวันที่ 12 กันยายน 2025 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 19 คน และส่วนใหญ่เป็นเด็กนักเรียนอายุตั้งแต่ 15–21 ปี โดยเหตุเกิดขึ้นในเวลาตีหนึ่ง ขณะที่นักเรียนกำลังหลับในหอพักของโรงเรียน
ไม่ใช่ครั้งแรกที่กองทัพถูกกล่าวหาว่าละเมิดหลักมนุษยธรรม ก่อนหน้านี้ในเดือนมีนาคม ปี 2025 รัฐบาลทหารเคยถูกสังคมโลกวิจารณ์และประณาม เนื่องจากกองทัพยังคงเดินหน้าโจมตีทางอากาศใส่พื้นที่พลเรือน แม้ประชาชนกำลังเผชิญกับภัยแผ่นดินไหว และได้รับผลกระทบอย่างมากจากเหตุการณ์ดังกล่าว
ผศ.ดร.ลลิตา อธิบายว่าเหตุผลที่กองทัพต้องโจมตีพื้นที่ซึ่งมีประชาชนอาศัยอยู่หนาแน่น คือ ต้องการสร้างความหวาดกลัว และแสดงให้เห็นว่าหากกลุ่มใดต่อต้านกองทัพ ผู้ที่ต้องสูญเสียไม่ใช่เพียงทหาร แต่คือประชาชนผู้บริสุทธิ์ในกลุ่มพื้นที่นั่นเอง อย่างไรก็ตาม อาจารย์ลลิตามองว่า กองทัพเองก็อยากหาทางลงจากสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อมานานเกือบ 5 ปี ทำให้ทั้งสองฝ่ายต่างสูญเสียหนัก ไม่ว่าจะเป็นทหารเมียนมาหรือกองกำลังต่อต้าน
ทางด้านของ รศ.ดร.ดุลยภาค ประเมินว่า แม้ทหารพม่าจะใช้ความรุนแรงเพื่อให้สามารถจัดการเลือกตั้งให้ได้มากที่สุด แต่การเลือกตั้งจะไม่ใช่ “End game” หรือจุดจบของความขัดแย้ง ความรุนแรงจะยังคงดำเนินต่อไป แม้ผู้คนจะได้หย่อนบัตรลงคะแนน เนื่องจากถ้าฝ่ายต่อต้านได้รับทรัพยากรหรือความช่วยเหลือมากขึ้นจนแข็งแกร่ง ก็อาจกลับมาโจมตีรัฐบาลใหม่ได้อีก รวมถึงอาจเกิดการลุกฮือประท้วงของประชาชนภายในประเทศ
แต่ในขณะเดียวกัน อาจารย์ดุลยภาคก็มองว่า ฝ่ายต่อต้านยังไม่แข็งแรงพอที่จะเปลี่ยนเกมหรือสกัดกั้น “Road Map” ของรัฐบาลทหารได้อย่างแท้จริง แต่สถานการณ์ในเมียนมาก็ยังเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และต้องติดตามอย่างต่อเนื่องว่าเหตุการณ์จะพัฒนาไปในทิศทางใด
คาดการณ์ผลการเลือกตั้ง
ผศ.ดร.ลลิตา ได้ประเมินผลการเลือกตั้งในอนาคตว่า พรรค USDP ซึ่งเป็นพรรคตัวแทนของกองทัพจะได้เสียงข้างมาก ขณะที่พรรคการเมืองอื่นๆ ซึ่งล้วนมีความใกล้ชิดกับกองทัพจะถูกดึงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายบริหาร เพื่อสร้างภาพว่าเป็นรัฐบาลผสมที่มีพรรคของชนกลุ่มน้อยหรือพรรคอิสระเข้าร่วม แต่ทั้งหมดล้วนเป็นกลุ่มที่กองทัพสามารถควบคุมได้ ไม่ใช่กลุ่มหัวรุนแรงที่ต้องการต่อสู้กับกองทัพโดยตรง
จากนั้น กองทัพก็จะนำโครงสร้างนี้ไปต่อยอด โดยอ้างว่ามีฉันทามติ (consensus) ของสังคม และสร้างภาพลักษณ์ว่ากำลังจัดตั้งรัฐบาลกึ่งพลเรือน เพื่อตอบโจทย์สายตาของโลกตะวันตกที่ต้องการเห็นประชาธิปไตย นี่คือรูปแบบที่คล้ายกับการเลือกตั้งยุคเต็งเส่งราวปี 2010-2012 เพียงแต่ครั้งนี้จะไม่เห็นบทบาทของพรรค NLD อีกเลย ส่วนพรรคชาติพันธุ์ที่ได้รับอนุญาตให้มีส่วนร่วมก็จะทำหน้าที่เสมือนตัวประกอบเพื่อให้กระบวนการเลือกตั้งเดินหน้าไปได้
ทางด้านของ รศ.ดร.ดุลยภาค วิเคราะห์ในทิศทางเดียวกันถึงโอกาสที่จะเกิดรัฐบาลผสมภายใต้ระบอบการเมืองแบบลูกผสม ซึ่งพรรค USDP จะรวมเสียงกับพรรคขนาดกลางอื่นๆ เพื่อจัดตั้งรัฐบาล และเป็นที่แน่นอนว่าฝ่ายบริหารชุดใหม่จะมีความสัมพันธ์ที่เป็นมิตรต่อกองทัพเมียนมาอย่างแน่นอน
สิ่งเหล่านี้คือ “ธง” ที่กองทัพพม่าได้วางไว้ แต่เรายังคงต้องจับตาดูต่อไปว่าความปรารถนานี้จะสำเร็จหรือไม่ ตัวแปรสำคัญคือการเคลื่อนไหวของฝ่ายต่อต้านและกองกำลังชาติพันธุ์ที่ยังคงทำการรบ ว่าพวกเขาจะสกัดกั้นหรือทำให้แผนการเลือกตั้งของมินอ่องหล่าย ให้ล้มเหลวได้อย่างไร จึงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามกันต่อไป รศ.ดร.ดุลยภาค กล่าว
ทหารถือครองอิทธิพลผ่าน “รัฐธรรมนูญ”
การเลือกตั้งครั้งที่กำลังจะเกิด ยังคงดำเนินไปภายใต้รัฐธรรมนูญปี 2008 ของกองทัพ ซึ่งทําให้ทหารยังสามารถถือครองอิทธิพลในระบอบปกครองได้ ไม่ว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาอย่างไรก็ตาม
อิทธิพลของรัฐธรรมนูญฉบับนี้เคยแสดงให้เห็นชัดเจนในช่วงที่รัฐบาลพลเรือนของออง ซาน ซูจี เข้าบริหารประเทศ โดยแม้ว่า พรรค NLD จะได้รับชัยชนะถล่มทลายจากประชาชน แต่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งกลับไม่สามารถผลักดัน ให้เกิดการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประเทศไปสู่การปกครองโดยพลเรือนอย่างแท้จริงได้ ทําให้กองทัพยังคงมีบทบาทสําคัญหลายด้าน
ตัวอย่างเช่น รัฐธรรมนูญกำหนดให้ฝ่ายทหารยังคงมีสิทธิในการครองที่นั่งอย่างน้อย 25% ในรัฐสภา และยังให้อำนาจกองทัพในการแต่งตั้งรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมและกระทรวงกิจการชายแดน ทำให้ในอดีตปัญหาความขัดแย้งระหว่างรัฐส่วนกลางและกลุ่มชาติพันธุ์ยังคงดำเนินต่อไป แม้ในตอนนั้นจะมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งแล้วก็ตาม รวมถึงเปิดทางให้กองทัพสามารถประกาศภาวะฉุกเฉินได้ ซึ่งการจะแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เป็นไปได้ยากเนื่องจากทหารได้วางกลไกให้ต้องใช้เสียงจัดตั้งของกองทัพในการโหวตแก้ไขด้วย
ดังนั้น การเลือกตั้งครั้งใหม่นี้อาจดูเหมือนสามารถปรับเปลี่ยนบริบททางการเมือง แต่โครงสร้างอำนาจที่กองทัพสถาปนาไว้ผ่านรัฐธรรมนูญปี 2008 ยังคงมีอยู่ และเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างมากต่อการเปลี่ยนผ่านสู่ประชาธิปไตยอย่างแท้จริงในเมียนมา
ภาพ: Thierry Falise / LightRocket via Getty Images
อ้างอิง:
- https://www.irrawaddy.com/news/politics/ruling-generals-ministers-to-dominate-myanmar-militarys-proxy-party-candidate-list.html
- https://www.reuters.com/world/asia-pacific/myanmars-suu-kyi-health-worsening-military-custody-son-says-2025-09-05/?utm.com
- https://www.irrawaddy.com/news/politics/myanmar-regime-sets-more-traps-to-guarantee-election-win.html
- https://www.irrawaddy.com/news/politics/what-we-know-about-the-myanmar-juntas-promise-of-elections.html
- https://www.irrawaddy.com/news/burma/first-victim-jailed-under-myanmars-new-election-protection-law.html
- https://www.irrawaddy.com/news/burma/two-held-for-posting-anti-election-stickers-in-yangon.html