ดู่หว่า ละชี ละ (Duwa Lashi La) รักษาการประธานาธิบดีรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติเมียนมา (National Unity Government: NUG) ให้สัมภาษณ์สำนักข่าว Reuters วานนี้ (1 ธันวาคม) โดยเปิดเผยว่ามีนักรบประชาธิปไตยอย่างน้อย 2,000 คน ที่เสียชีวิตจากการสู้รบกับรัฐบาลเผด็จการทหารเมียนมา นับตั้งแต่เกิดการรัฐประหาร ยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือน เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2021
โดยผู้นำ NUG วัย 70 ปี ได้ให้สัมภาษณ์ในงานประชุม Reuters NEXT 2022 จากสถานที่หลบซ่อนตัวที่ไม่เปิดเผยในเมียนมา พร้อมทั้งเรียกร้องขอความช่วยเหลือทางทหารจากพันธมิตรนานาชาติ โดยเฉพาะการสนับสนุนอาวุธและระบบป้องกันในลักษณะเดียวกับที่ยูเครนได้รับ ซึ่งเขามั่นใจว่าจะช่วยให้เอาชนะกองทัพเมียนมาได้ภายใน 6 เดือน
“ถ้าเรามีอาวุธต่อต้านอากาศยาน ก็พูดได้เต็มปากว่าเราสามารถชนะได้ภายใน 6 เดือน หากเพียงแต่เราได้รับการสนับสนุนแบบเดียวกับที่ยูเครนได้รับจากสหรัฐฯ และสหภาพยุโรป ความทุกข์ทรมานของผู้คนที่ถูกเข่นฆ่าก็จะยุติลงทันที” ดู่หว่า ละชี ละ กล่าว พร้อมเผยว่า นักรบฝ่ายประชาธิปไตยได้สังหารกองกำลังทหารของรัฐบาลเผด็จการไปประมาณ 2 หมื่นนาย แต่ไม่สามารถยืนยันการตรวจสอบได้
ทั้งนี้ ดู่หว่า ละชี ละ ซึ่งอดีตเคยเป็นครูและทนายความ พาครอบครัวหลบหนีจากบ้านในรัฐกะฉิ่น ทางตอนเหนือ และถูกรัฐบาลทหารเมียนมาขึ้นบัญชีดำในฐานะผู้ก่อการร้าย ร่วมกับกลุ่มพันธมิตรฝ่ายประชาธิปไตยอีกหลายคน โดยทางการยังห้ามประชาชนติดต่อสื่อสารกับพวกเขา
ขณะที่เขายืนยันในเจตนารมณ์อันหนักแน่น ที่พร้อมสละชีวิตเพื่อประเทศ
“ผมไม่รู้ว่าเมื่อไรจะสละชีวิต มันขึ้นอยู่กับพระประสงค์ของพระเจ้า ผมมุ่งมั่นที่จะเสียสละทุกอย่างเพื่อประเทศของผมอยู่แล้ว”
ที่ผ่านมา นักรบกองกำลังฝ่ายสนับสนุนประชาธิปไตย ซึ่งเป็นกลุ่มพันธมิตรติดอาวุธ ที่รู้จักในชื่อกองกำลังพิทักษ์ประชาชน (People’s Defense Forces: PDF) ไม่มีอาวุธที่มีศักยภาพเพียงพอที่จะสู้รบกับกองทัพเมียนมา ซึ่งใช้เครื่องบินขับไล่ทิ้งระเบิดโจมตี อีกทั้งยังได้รับการสนับสนุนอาวุธยุทโธปกรณ์จากรัสเซีย จีน และอินเดีย
ข้อมูลจากสหประชาชาติเผยว่า ประชาชนเมียนมามากกว่า 1.3 ล้านคนต้องพลัดถิ่นภายในประเทศ นับตั้งแต่เกิดรัฐประหาร พร้อมระบุว่าการโจมตีของกองทัพหลายครั้ง อาจถือเป็นอาชญากรรมสงคราม
ขณะที่รัฐบาลทหารไม่ยืนยันว่าไม่ได้พุ่งเป้าโจมตีทางอากาศไปที่พลเรือน และอ้างว่าปฏิบัติการโจมตีของกองทัพเป็นการตอบสนองต่อการโจมตีของ ‘กลุ่มก่อการร้าย’
ภาพ: Reuters
อ้างอิง: