การติดตามความสัมพันธ์ที่เข้มข้นซับซ้อน คือความสนุกอย่างหนึ่งที่เราได้รับจากซีรีส์รักฉุดใจนายฉุกเฉิน ที่สร้างกระแสการ ‘แบ่งทีม’ เอาใจช่วย 4 ตัวละครหลักกันอย่างดุเดือด โดยเฉพาะใน EP.11 ที่เดินทางมาถึงจุดไคลแม็กซ์ของความสัมพันธ์ที่ไม่อาจคาดเดา
THE STANDARD POP ขอชวนทุกคนกลับมาทบทวนความรู้สึกของหมอเป้ง บะหมี่ ทานตะวัน ในวังวนความสัมพันธ์ซับซ้อน ที่ยืนยันกับเราอีกครั้งว่าไม่เคยมีคำว่า ‘ง่าย’ เมื่อใครสักคนคิดจะเริ่มต้นปลูกต้นรัก และพยายามรักษาความสัมพันธ์ให้ได้ตลอดรอดฝั่ง
โดยเฉพาะเมื่อมีตัวละครอื่น ‘ล็อกอิน’ เข้ามาอยู่ในเกมแห่งความสัมพันธ์ และความรักไม่ใช่แค่เรื่องของ ‘สองคน’ อีกต่อไป
“การไม่มีแก เป็นสิ่งที่แย่ที่สุดเลย” – หมอเป้ง
ความเย็นชา บริหารเวลาไม่เก่ง และวางหน้าที่ช่วยชีวิตคนไข้ไว้อันดับแรก ก่อนที่จะคิดถึงบทบาทการเป็นคนรักที่ดี ทำให้หมอเป้งตกเป็น ‘ผู้ต้องหา’ รายแรกที่พาให้ทุกคนเข้ามาอยู่ในเขาวงกตแห่งความสัมพันธ์ที่ไร้ทางออก นอกจากฉากยืนมองหน้าสลับทิศทางที่เต็มไปด้วยความอึดอัด และความรู้สึกมากมายที่อัดอั้นอยู่ในใจ
หน้าที่ ความรับผิดชอบ รอยยิ้มของผู้ป่วย คำขอบคุณจากครอบครัวคนเจ็บ การได้รับการยอมรับในฐานะ ‘หมอมือดี’ รวมทั้งความผิดพลาดที่เคยเป็นเหตุให้คนไข้เสียชีวิต ทำให้หมอเป้งเดินทางออกห่างจากคำสัญญาที่พูดเอาไว้เมื่อ 15 ปีก่อนมากขึ้นเรื่อยๆ คำสัญญาที่ทำให้ตัดสินใจเลือกเรียนหมอ เพียงเพราะอยากคอยดูแลและรักษาทานตะวันให้ดีที่สุด
หมอเป้งรักษาชีวิตผู้คนได้มากมาย แต่กว่าจะรู้ว่าทำให้ใครคนหนึ่งหล่นหายไปจากชีวิต ก็เมื่อ ‘พลัง’ ที่เคยเป็นเครื่องยืนยันความรักระหว่างเขาและทานตะวันไม่หลงเหลืออยู่ต่อไป
การบอกข่าวร้ายให้กับญาติผู้ป่วยด้วยสีหน้าเรียบเฉย ค่อยๆ กัดกินความสามารถในการแสดงความรู้สึกของเขาไปทีละน้อย เขาสร้างเกราะที่แข็งแกร่ง เพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเองเจ็บปวด ซึ่งเกราะกำบังนั้นแข็งเสียจนเขานำมันมาใช้กับทุกๆ เรื่องในชีวิต รวมไปถึงความรัก
เมื่อเจ็บปวดและเสียใจ เขาทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าใช้กำลัง ทุบ กระแทก เตะประตูรถ เพื่อระบายความรู้สึก แม้กระทั่งตอนที่มาขอทานตะวันคืนดี เขาก็ทำอะไรได้ไม่มากไปกว่า การยื่นแหวนแต่งงานด้วยท่าทีเก้งก้าง คำพูดที่เรียบเรียงไม่เก่ง ไม่รื่นหู น้ำเสียงแข็งอึกอัก ซึ่งต้องยอมรับว่าซันนี่แสดงพาร์ตนี้ได้ดีมากจริงๆ
บางคนอาจจะมองว่าความรักของหมอเป้งนั้นเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว นึกจะมาก็มา นึกจะไปก็ไป ทำอะไรตามใจคิดเหมือนทุกอย่างต้องหมุนรอบตัวเขา แต่ถ้ามองย้อนกลับไปตลอดระยะเวลา 15 ปี ที่เขายอมเพิ่มเข้าเวรเพิ่มเป็นวันละ 12 ชั่วโมง ทำงานเพื่อคนอื่นจนแทบไม่ได้พัก
เขาพอจะมีสิทธิ์เห็นแก่ตัวได้บ้างหรือเปล่า เราจะให้อภัยเขาได้ไหม ในวันที่เขาสลัดเสื้อกาวน์สีขาวที่เขาต้องเสียสละทุกอย่างในชีวิตเพื่อรักษาเอาไว้ออก เพื่อที่จะกลับไปกอดคนที่เขารักให้เต็มอ้อมแขนอีกสักครั้ง
“พี่ยังทำให้เขาเสียใจอีกเหรอ พี่มีสิทธิ์อะไรวะ” – บะหมี่
ตัวละครที่มีคนหมั่นไส้และอยากประทับรอยฝ่ามือให้มากที่สุด แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง บะหมี่อาจไม่ได้เป็นอะไรมากไปกว่าเด็กสาวน่าสงสาร ที่ก้าวเข้ามาในเกมความสัมพันธ์ไม่ต่างจากคนทั่วไป และเลือกที่จะทำตามเสียงของหัวใจเพื่อให้คนที่รักหันมามองเธอบ้าง
สิ่งเดียวที่บะหมี่ขาดไปคือ เธอมองทุกอย่างด้วยสายตาและความรู้สึกของคนที่เพิ่งเข้ามาในชีวิตของหมอเป้งได้ไม่นาน แต่เพราะความหลงใหล ชื่นชม จนอาจถึงขั้นงมงาย และการได้ร่วมเคียงข้างปฏิบัติหน้าที่ในหลายๆ ครั้ง ทำให้เผลอคิดไปว่า เธอเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างได้ดีที่สุด
บะหมี่รักหมอเป้งมากถึงขนาดยอมทำทุกอย่างเพื่อให้เขาสนใจ (และหมอเป้งก็ให้ความหวังกับเธอมากจริงๆ) แม้จะรู้อยู่เต็มอกว่าสถานะของตัวเองเป็นรอง เพราะเขามีอีกคนหนึ่งเป็นตัวจริงอยู่ในหัวใจ
แต่ในขณะเดียวกันเธอก็รักเขามากพอที่จะโมโหเมื่อเห็นหมอเป้งถอดเสื้อกาวน์ที่เป็นทุกอย่างในชีวิตทิ้ง และไปอาละวาดใส่ทานตะวันที่เธอคิดว่าเป็นต้นเหตุ ด้วยความรู้สึกว่าเธอเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด
บะหมี่ด่าทานตะวันว่าเห็นแก่ตัวที่นอกใจ เพราะบะหมี่ไม่มีเคยรู้เลยว่าทานตะวันเจออะไรมาบ้างตลอดระยะเวลา 15 ปี
แน่นอนว่าการแสดงออกของบะหมี่เต็มไปด้วยความเกรี้ยวกราด ขาดความเคารพ แต่ถ้ากิริยาที่ไม่เหมาะสมทั้งหมดเกิดขึ้นเพียงเพราะ เธอไม่ต้องการให้คนที่เธอรักเสียใจ เราจะพอให้อภัยและรู้สึกว่าบะหมี่เองก็ไม่ควรโดนตบได้บ้างไหมนะ
“น้องนั่นแหละเคยมาถึงจุดที่พี่เจอบ้างยัง เคยถูกลืมบ้างยัง” – ทานตะวัน
แม้จะไม่มีคนอยากตบ แต่หลายคนก็มองว่าทานตะวันคือตัวละครที่น่ารำคาญที่สุด เพราะดูเหมือนวันๆ ไม่ทำอะไร นอกจากคอยวิ่งตามและใช้พลัง ‘เรียก’ คนรักอย่างเดียว
แต่จะแปลกอะไรที่ทานตะวันจะรู้สึกแบบนั้น ถ้าลองคิดภาพของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง ที่มีช่องว่างในหัวใจหลังการจากไปของพ่อแม่ นอกจากมรดกก้อนโตที่ทำให้ใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบาย ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องน่าอิจฉา แต่ก็ไม่สามารถเติมช่องว่างที่เกิดขึ้นได้จริงๆ
ในขณะที่ตัวละครอื่นถูกขับเคลื่อนด้วยความฝัน ยืนยันการมีชีวิตอยู่ด้วยการทำงาน เป็นหมอ เป็นพยาบาล หรือแม้กระทั่งเป็นนักแข่งรถ แต่ทานตะวันไม่เคยได้รับรู้ความรู้สึกนั้น เพราะชีวิตของเธอมีเพียงความรักและคำสัญญาจากหมอเป้งเท่านั้น เป็นสิ่งที่ยึดมั่นอย่างเดียวในชีวิต
ถ้าทุกคนทุ่มเทเพื่อความฝัน แล้วจะแปลกอะไรที่ทานตะวันจะทำทุกอย่างเพื่อคนที่เธอรัก และเธอก็ทำหน้าที่นั้นอย่างดีมาตลอด เธอเข้าใจหมอเป้ง เธอยอมปรับตัว เปลี่ยนแปลง ทนกับความเฉยชา เก็บความรู้สึก ‘ถูกลืม’ เอาไว้เป็นเวลาหลายปี เพราะเธอมีเพียงพลังงานความรักเป็นตัวขับเคลื่อนชีวิต
ถ้าเราเชื่อว่าความรู้สึกเป็นเรื่องที่ห้ามกันไม่ได้ แล้วจะแปลกอะไรถ้าวันหนึ่งที่เธอจะหวั่นไหว เมื่อมีใครสักคนเข้ามาเอาใจใส่ ทำให้หัวใจของเธอเต้นแรง และเลือกที่ ‘มูฟออน’ ไปกับความสัมพันธ์ครั้งใหม่ที่ดูสดใสมากกว่าเดิม
ถ้าเอาใจช่วยให้ทานตะวันปลูกต้นรักกับหมอฉลามได้ เราจะพอเข้าใจเธอได้ไหม หากเธอเริ่มลังเลอีกครั้ง เมื่อรู้ความจริงว่าหมอเป้งที่ดูเฉยชา แต่ก็ยอมเสียสละเพื่อเธอไม่น้อยเหมือนกัน
ถ้าเป็นเราไปยืนอยู่ตรงนั้น จะสามารถพูดได้เต็มปากเต็มคำหรือเปล่า ว่าจะสามารถตัดสินใจได้โดยไร้ความลังเล
“วันนี้ผมมีดอกไม้ให้พี่แล้วนะ : )” – หมอฉลาม
คุณหมอหน้าใสจิตใจดีที่มีคนสงสารและเอาใจช่วยมากที่สุด สำหรับคนที่เคารพหมอเป้งในฐานะ ‘ไอดอล’ แทบมองไม่เห็นความเป็นไปได้เลยที่เขาจะพาตัวเองเข้ามาอยู่ในวังวนความสัมพันธ์ครั้งนี้ด้วยความตั้งใจ
แถมบะหมี่ที่เขาแอบชอบมาตั้งแต่แรก ก็ไม่มีท่าทีว่าจะสนใจเขาสักนิด และต้องบอกว่าเสน่ห์ของทานตะวันนั้นมีมากพอที่จะค่อยๆ หลอมละลายหัวใจของเด็กหนุ่มไร้เดียงสาที่ไม่เคยมีความรักได้ง่ายจริงๆ เมื่อรู้ตัวอีกครั้งเขาก็พาตัวเองเข้ามาอยู่ใจกลางเขาวงกตความสัมพันธ์ที่ไร้ทางออกนี้แบบเต็มตัว
นอกจากของกินที่ซื้อไปฝากบะหมี่บ่อยๆ ‘ดอกทานตะวัน’ ที่เราเห็น อาจจะเป็นดอกไม้ดอกแรกในชีวิตที่หมอฉลามรวบรวมความกล้าซื้อให้ใครสักคน ยิ่งเห็นรอยยิ้มที่ท้ายการ์ดข้อความ ยิ่งได้เห็นน้ำตาของความหวาดหวั่นเมื่อรู้ว่าหมอเป้งกำลังจะกลับมาแทนที่เขา ยิ่งได้ยินน้ำเสียงที่แสร้งทำเป็นร่าเริงบอกทานตะวันว่าเขาไม่มีพลังแล้ว เราก็ยิ่งเจ็บปวดไปกับเขามากขึ้นเท่านั้น
เราคงไม่อาจมีคำพูดหรือความรู้สึกใดๆ มอบให้หมอฉลาม นอกจากการเอาใจช่วยเขาให้ถึงที่สุด เราพร้อมที่จะแสดงความยินดี ถ้าทานตะวันยังเลือกที่จะเดินหน้าไปพร้อมกับเขา
และพร้อมที่จะโอบกอดและปลอบใจ หากทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่เขาคิด และหวังว่าอย่างน้อยที่สุด สิ่งที่เขาได้รับจากหมอเป้งในฐานะต้นแบบ จะไม่ได้มีแค่การเป็นหมอที่ดี แต่รวมถึงบทเรียนที่ว่าการบริหารความสัมพันธ์และเป็นคนรักที่ดีก็เป็นเรื่องสำคัญ เพื่อป้องกันไม่ให้ต้องมีใครเจ็บปวดจาก ‘วังวน’ ความสัมพันธ์เช่นนี้อีก
เพราะความรักคือสิ่งที่ต้องการ ‘ความเข้าใจ’ และไม่ใช่เรื่องที่ใครจะ ‘ตัดสิน’ ได้ง่ายๆ จากการมองเพียงผ่านๆ และไม่ได้เข้าไปอยู่ในสถานะแบบนั้นจริงๆ
พิสูจน์อักษร: ลักษณ์นารา พักตร์เพียงจันทร์