สำหรับเด็กผีและเด็กหงส์ เกม ‘แดงเดือด’ นัดที่ผ่านมาไม่ใช่เกมที่สนุกอะไรมากมาย แต่ก็ไม่ถึงกับแย่นัก ถึงสุดท้ายอาจจะผิดหวังเพราะเหมือนไม่ได้อะไรกันเลยทั้งสองฝ่ายก็ตาม แต่อย่างน้อยก็ได้เห็นความพยายามของทั้งสองทีมที่จะเก็บผลการแข่งขันที่ตัวเองต้องการให้ได้
ฟากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็พลาดชัยชนะสำคัญที่อาจจะเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้ทีมกลับมาโชว์ฟอร์มได้ดีอีกครั้ง ทั้งๆ ที่ศึกนี้ถือเป็นเกมที่พวกเขาเล่นได้ดีที่สุดในรอบหลายนัดของฤดูกาลนี้
ขณะที่ลิเวอร์พูลก็พลาดการทำสถิติชนะรวดตลอดกาลเท่ากับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และทำให้ช่องว่างระหว่างพวกเขากับแชมป์เก่าหดเหลือ 6 จาก 8 แต้ม
สำหรับตัวผมเองแอบเสียดายบรรยากาศเก่าๆ ของเกมที่ไม่รู้ว่าจะมีวันกลับมาเหมือนเดิมอีกไหม เพราะชัดเจนว่าการพบกันระหว่างคู่ปรับแห่งถนนสาย M62 (ถนนที่เชื่อมระหว่างลิเวอร์พูลและแมนเชสเตอร์) มีแต่จะลดดีกรีความร้อนแรงลงเรื่อยๆ
เหตุผลสำคัญมาจากสถานภาพของทั้งสองทีมที่เดินสวนทางในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะฟากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ยังหาทางกลับสู่จุดที่เคยยืนไม่เจอ หลังจาก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน วางมือไปเมื่อ 6 ปีที่แล้ว
อีกส่วนคือเรื่องความเปลี่ยนแปลงของยุคสมัย ซึ่งเป็นประเด็นที่มีการพูดถึงเบาๆ จากกรณีที่ รอย คีน อดีตกัปตันทีมปีศาจแดง อดไม่ได้ที่จะแขวะถึงความสัมพันธ์ระหว่างนักฟุตบอลทั้งสองทีม หลังได้เห็นกรณีของ โรแบร์โต เฟียร์มิโน, ฟาบินโญ, เฟรด และอันเดรียส เปเรรา ซึ่งเป็นนักเตะบราซิลเหมือนกัน ทักทายกันอย่างสนิทสนมในอุโมงค์ก่อนลงสนาม
คีนซึ่งเป็นนักเตะหัวเก่ารับไม่ได้กับเรื่องแบบนี้ เพราะถือว่านี่เป็นเกมสำคัญของสโมสร เป็นการพบกับคู่แข่งตลอดกาล การแสดงออกถึงไมตรีแบบนี้ไม่ต่างอะไรจากการแสดงให้เห็นถึงความหย่อนยานทางทัศนคติของนักเตะสมัยใหม่
เรื่องนี้ผมก็พอเข้าใจคีนนะครับ แต่ต้องยอมรับว่าโลกนั้นเปลี่ยนไป ในทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และลิเวอร์พูลเองก็เหลือสายเลือดแมนคูเนียนและลิเวอร์พัดเลียนแท้ๆ น้อยเต็มที นักเตะอย่าง มาร์คัส แรชฟอร์ด หรือเทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ ก็แตกต่างจาก แกรี เนวิลล์ หรือเจมี คาร์ราเกอร์ มากแล้ว
บางครั้งก็แอบคิดว่าเก็บเรื่องเกมแดงเดือดในวันวานไว้ในกล่องความทรงจำส่วนตัว ไม่ต้องคาดหวังอะไรมากมายนักกับเกมสมัยนี้ก็อาจจะดีต่อหัวใจมากกว่า
อย่างไรก็ตาม แม้บรรยากาศการแข่งขันในสนามจะเบาบางและเจือจางลง แต่ไม่ได้แปลว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และลิเวอร์พูลจะญาติดีกัน และไม่ได้แปลว่าจะไม่แข่งขันกันอีกนะครับ
เพราะในเกมฟุตบอลปัจจุบัน การแข่งขันไม่ได้ถูกจำกัดเอาไว้แค่ในสนามหญ้าอย่างเดียวเท่านั้น
สนามโซเชียลมีเดียก็แข่งขันกันรุนแรงในเรื่องการขยายฐานแฟนฟุตบอลใหม่ๆ ที่ทุกสโมสรมีโอกาสที่จะแทรกซึมพื้นที่ในหัวใจของแฟนบอลรุ่นใหม่ได้อย่างเท่าเทียมมากกว่าในอดีต
และแน่นอนว่าในสนามการค้าการขายก็เป็นอีกหนึ่งสมรภูมิที่ดุเดือดเร้าใจอย่างมาก
สำหรับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และลิเวอร์พูล นี่เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปีที่พอจะพูดได้ว่าการแข่งขันในเรื่องการตลาดของทั้งสองสโมสรเข้าใกล้คำว่าสูสีครับ
ที่พูดแบบนี้ได้เพราะล่าสุดลิเวอร์พูลกำลังเข้าสู่กระบวนการขั้นสุดท้ายในการตกลงกับ Nike ผู้ผลิตอุปกรณ์กีฬายักษ์ใหญ่ของโลก ซึ่งเป็นดีลที่เชื่อว่าอยู่ในระดับเดียวกับที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำไว้กับ Adidas อีกหนึ่งยักษ์ใหญ่ของโลกกีฬาจากเยอรมนี
เพียงแต่เวลานี้ลิเวอร์พูลต้องสู้กับ New Balance ผู้ถือสิทธิ์ปัจจุบันที่ต้องการขยายสัญญาออกไปอีก 5 ปี โดยพยายามอ้างเงื่อนไขในข้อตกลงที่ระบุว่าในฐานะผู้ถือสิทธิ์ปัจจุบัน พวกเขามีสิทธิ์จะรักษาสิทธิ์เอาไว้ได้ หากยื่นข้อเสนอได้ทัดเทียมกับข้อเสนอจากผู้เสนอตัวรายใหม่
New Balance ซึ่งเดิมมีท่าทีถอดใจ ไม่คิดจะสู้กับข้อเสนอของ Nike ยืนยันว่าพวกเขายื่นข้อเสนอในระดับที่เท่าเทียมกับ Nike เพียงแต่ลิเวอร์พูลไม่คิดเช่นนั้น พวกเขาไม่ต้องการจับมือกับ New Balance อีกต่อไปด้วยเหตุผลหลายอย่าง
แต่ถ้าเอาเหตุผลชัดๆ คือลิเวอร์พูลไม่เชื่อว่า New Balance จะสามารถนำสโมสรให้ก้าวไปแข่งขันกับกลุ่มทีมที่เป็นสุดยอดในการตลาดลูกหนังอย่างแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, บาร์เซโลนา หรือเรอัล มาดริดได้
ปีกของ Nike เทพีบุคลาธิษฐานแห่งชัยชนะ คือสิ่งที่ยักษ์หลับของวงการฟุตบอลอังกฤษเชื่อว่าจะทำให้พวกเขากลับมาครองโลกได้อีกครั้ง
และแน่นอนว่าอาจทำให้พวกเข้าใกล้กับการเขี่ยแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตกบัลลังก์ทีมที่เก่งเรื่องนอกสนามที่สุดของอังกฤษด้วย
ปัจจุบันแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังเป็นทีมอันดับหนึ่งในเรื่องของการหารายได้ครับ ไม่กี่สัปดาห์ก่อนหน้านี้ เอ็ด วูดเวิร์ด รองประธานสโมสรที่เป็นใหญ่ในเรื่องของการบริหารประกาศตัวเลขรายรับของสโมสรที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 627.1 ล้านปอนด์ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 6.3%
ขณะที่ลิเวอร์พูลมีรายรับอยู่ที่ 455 ล้านปอนด์ น้อยกว่าเกือบ 200 ล้านปอนด์
แต่ระยะทางที่ห่างกันคาดว่าจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญในปีหน้าครับ จากการที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด นั้นไม่ผ่านเข้าไปเล่นในแชมเปียนส์ลีก สวนทางกับลิเวอร์พูลที่ปีกลายไปถึงแชมป์
นักวิเคราะห์เชื่อว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะมีรายรับที่ราว 560-580 ล้านปอนด์จากฤดูกาลนี้ สวนทางกับลิเวอร์พูลที่คาดว่าจะขยับเข้าใกล้กว่าเดิมมาก โดยเฉพาะตัวเลขรายได้จากแชมเปียนส์ลีกที่พวกเขาทำได้ถึง 111 ล้านยูโร
และตัวเลขนี้มีโอกาสจะเข้าใกล้กันมากขึ้นไปอีกในอนาคต หากลิเวอร์พูลและ Nike สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้อย่างเป็นทางการ
ปัจจุบันพวกเขารับจาก New Balance ปีละ 45 ล้านปอนด์ ซึ่งน้อยกว่าที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รับจาก Adidas ถึงกว่าฤดูกาลละ 30 ล้านปอนด์ ซึ่งแม้จะมีการเปิดเผยตัวเลขในสัญญาของ Nike (จากการที่ต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกัน) ว่าลิเวอร์พูลจะได้เงินการันตีเพียงฤดูกาลละ 30 ล้านปอนด์ แต่บวกลบคูณหารจากเงื่อนไขต่างๆ แล้วคาดว่าตัวเลขสุดท้ายที่ได้รับจะใกล้เคียง 75 ล้านปอนด์ต่อปี (ซึ่งก็เป็นตัวเลขที่ปรากฏในข่าวตอนแรก)
Nike มีจำนวนร้านค้าของตัวเองมากถึง 6,000 แห่ง และนั่นหมายถึงโอกาสในการขายเสื้อ (และสินค้าอื่นๆ) มากขึ้น รวมถึงกำลังการผลิตที่แข็งแกร่งกว่าผู้ผลิตเดิมอย่าง New Balance ที่มีปัญหาในการผลิตสินค้าไม่ทันความต้องการของเดอะค็อปทั่วโลกที่พร้อมจะซื้อสินค้าทุกอย่างของสโมสรโดยไม่จำเป็นต้องให้ใครป้ายยา
ตรงนี้เป็นประสบการณ์ตรงของเดอะค็อปจำนวนไม่น้อยที่แม้กระทั่งสินค้าหลักอย่างชุดแข่งก็หาซื้อได้ยาก หมดแล้วก็นานกว่าจะมีการรีสต๊อก (หรือบางครั้งก็ไม่มีการรีสต๊อกอีกเลย) บางคนไปถึงสโตร์ที่แอนฟิลด์ก็ไม่สามารถหาซื้อเสื้อหรือของที่ต้องการได้
เรื่องนี้หากคิดถึงจำนวนตัวเลขเสื้อแข่งที่ New Balance เคลมว่าจำหน่ายได้มากถึง 2.9 ล้านตัว ซึ่งสูงสุดในประวัติศาสตร์ (เป็นผลจากความสำเร็จของทีมในระยะหลัง) ก็แปลว่าลิเวอร์พูลจะมีโอกาสขายได้มากกว่านี้อีกหากมีช่องทางจำหน่ายมากขึ้น และผู้ผลิตมีกำลังการผลิตเพียงพอ
นอกจากนี้ Nike ยังสามารถเพิ่ม ‘โอกาส’ ของลิเวอร์พูลในการก้าวไปสู่การเป็น ‘โกลบอลแบรนด์’ ในแบบเดียวกับที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นได้ด้วย ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ New Balance ต้องยอมรับว่าพวกเขาไม่สามารถมอบให้ได้ด้วยขีดความสามารถที่มีจำกัด
แน่นอนว่า Nike จะเป็นเพียงก้าวแรกของลิเวอร์พูลในการที่จะหาญลุกขึ้นสู้กับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเรื่องนอกสนามครับ
หากยังรักษามาตรฐานการเล่นและประสบความสำเร็จต่อเนื่อง พวกเขาจะสามารถเรียกร้องค่าตอบแทนจากพาร์ตเนอร์หรือสปอนเซอร์ได้มากกว่าเดิม เพราะสปอนเซอร์พร้อมจ่ายให้กับทีมที่มีภาพลักษณ์ของ ‘ผู้ชนะ’ และยิ่งมีฐานแฟนบอลทั่วโลกจำนวนมากก็ยิ่งเป็นข้อได้เปรียบ
สถานการณ์จะตรงข้ามกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่มีข่าวว่า Chevrolet อาจจะตัดสินใจถอนตัวไม่ขอต่อสัญญาสปอนเซอร์หลักบนอกเสื้อที่จ่ายถึง 450 ล้านปอนด์ในสัญญาระยะเวลา 7 ปี เพราะผลงานของทีมสวนทางกับจำนวนตัวเลขที่ต้องจ่าย
อย่างไรก็ดี ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีใครเอาแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดนะครับ เพราะจะดีหรือร้าย นี่คือสโมสรระดับโลกที่มีฐานแฟนฟุตบอลมากถึง 1.1 พันล้านคนทั่วโลก (ตามการเปิดเผยของวูดเวิร์ด ซึ่งหากจริง นั่นหมายถึง 1 ใน 7 คนบนโลกจะต้องเป็นเด็กผี!) การได้เป็นพันธมิตรกับพวกเขาหมายถึงการปรากฏอยู่ทุกที่ทั่วโลก และยังเป็นสิ่งที่พันธมิตรมากมายพร้อมจ่าย
มันคือสิ่งที่ มาร์ติน เอ็ดเวิร์ด อดีตประธานสโมสร ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปูชนียบุคคลของโอลด์แทรฟฟอร์ด นอกเหนือจาก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ที่วางรากฐานไว้ตั้งแต่เมื่อปี 1992 และช่วยให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด กลายเป็นสโมสรที่ประสบความสำเร็จในการเรื่องการตลาดสูงสุดของอังกฤษ (ในยุคที่ไม่มีใครสนใจเรื่องพวกนี้เลย) ทำยอดขายจาก 1.2 ล้านปอนด์เป็น 28 ล้านปอนด์ได้ในเวลา 5 ปี
ลิเวอร์พูล ด้วยความเป็นสโมสรอนุรักษนิยม ทำให้พวกเขารู้ตัวช้า กว่าจะขยับเขยื้อนเคลื่อนตัวอย่างถูกต้องก็ต้องใช้เวลานานในการไล่ตาม ซึ่งเอาเข้าจริงหลายอย่างเริ่มจะเป็นเรื่องเป็นราวเหมือนชาวบ้านเขาก็ไม่ถึง 10 ปีที่ผ่านมาเอง
หลายอย่างพวกเขายังเป็นรอง ไม่ว่าจะเป็นตัวเลขรายรับจากวันแข่งขัน จำนวนยอดจำหน่ายสินค้า จำนวนตัวเลขจากสปอนเซอร์ ภาพลักษณ์ความเป็นโกลบอลแบรนด์
แต่ในที่สุดเราก็มาถึงจุดที่ทั้งสองสโมสรเริ่มเข้าใกล้กันมากขึ้นในระยะที่สายตามองเห็น และหลังจากนี้การต่อสู้ในเรื่องนอกสนามจะยิ่งดุเด็ดเผ็ดมันมากขึ้นแน่นอน
นี่คือเหตุผลที่บอกไว้ในชื่อเรื่องของวันนี้ครับว่า ทำไมศึก ‘แดงเดือด’ นอกสนามถึงน่าจะสนุกกว่าในสนาม
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์