ปิติ ดิษยทัต ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เปิดเผยว่า กนง. ได้ปรับประมาณการตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้เพิ่มขึ้นจาก 22 ล้านคนเป็น 25.5 ล้านคน และปรับตัวเลขในปีหน้าเพิ่มขึ้นจาก 31.5 ล้านคนเป็น 34 ล้านคน โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากการเปิดประเทศที่เร็วกว่าคาดของจีน
ปิติระบุว่า การมีจำนวนนักท่องเที่ยวในปีนี้เพิ่มมาจากคาดการณ์เดิมกว่า 3 ล้านคน ถือเป็น Upside สำหรับเศรษฐกิจไทยในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ในภาพรวมเศรษฐกิจไทยอาจไม่ได้ขยายตัวเพิ่มจากคาดการณ์เดิมมากนัก เนื่องจากภาพเศรษฐกิจโลกในเวลานี้ยังมีความคลุมเครือ ทำให้ยังต้องติดตามว่าการส่งออกของไทยจะชะลอตัวลงรุนแรงเพียงใด
“เศรษฐกิจโลกในเวลานี้มีความเสี่ยงด้านต่ำลดลงตามแนวโน้มเศรษฐกิจของประเทศเศรษฐกิจหลักที่ปรับดีขึ้น ราคาแก๊สในยุโรปกลับมาอยู่ในระดับก่อนสงครามแล้ว ขณะที่สหรัฐฯ ก็มีโอกาสซอฟต์แลนดิ้งมากขึ้น แต่ตัวเลขส่งออกไทยในเดือนธันวาคมก็ออกมาต่ำกว่าที่เราคาดไว้เช่นกัน ทำให้แนวโน้มการส่งออกในปีนี้ยังเป็นสิ่งที่ต้องติดตามต่อ ซึ่งเมื่อนำมาทอนกับแรงส่งจากการท่องเที่ยว เศรษฐกิจไทยอาจจะไม่ได้ปรับดีขึ้นจากคาดการณ์เดิมมากนัก” ปิติระบุ
ปิติยังกล่าวอีกว่า การเปิดประเทศของจีนจะมีทั้งส่วนที่เป็นผลบวกและผลเชิงลบต่อไทย โดยในภาคการท่องเที่ยวการเปิดประเทศของจีนจะส่งผลบวกต่อไทยชัดเจน แต่ถ้ามองภาพกว้างออกไปในระดับโลก การเปิดประเทศของจีนอาจหมายถึงราคาน้ำมันที่สูงขึ้น หากเงินเฟ้อในกลุ่มประเทศเศรษฐกิจหลักไม่ลดลง ธนาคารกลางของประเทศเหล่านี้ก็จะต้องปรับนโยบายการเงินให้ตึงตัว ซึ่งจะกระทบต่อมายังไทย แต่เมื่อหักกลบลบกันแล้วไทยก็ยังจะได้ประโยชน์มากกว่า
เลขานุการ กนง. ยังให้ความเห็นถึงการแข็งค่าของเงินบาทว่า นับจากต้นปีเงินบาทได้แข็งค่าขึ้นมาแล้วราว 5% เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ และแข็งค่าขึ้นมาแล้วราว 2% เมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ซึ่งถือเป็นการแข็งค่าที่ค่อนข้างเร็ว อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการเก็งกำไร แต่เป็นผลมาจากการที่ตลาดมีมุมมองเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวได้ต่อเนื่องสวนทางกับตลาดโลก ทำให้การลงทุนในสินทรัพย์ไทยมีความน่าสนใจมากขึ้น
“การแข็งค่าของเงินบาทเป็นผลมาจากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนจากการชะลอขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ประกอบกับแนวโน้มการท่องเที่ยวของไทยที่จะปรับตัวดีขึ้นจากการเปิดประเทศของจีน เรามองว่าเงินบาทยังไม่ได้เคลื่อนไหวฉีกจากสิ่งที่ควรจะเป็น ยังไม่มีปัจจัยอะไรที่น่ากังวลเป็นพิเศษ” ปิติระบุ
สงวน จุงสกุล ผู้อำนวยการฝ่ายอาวุโส สายงานธุรกิจตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทย วิเคราะห์การปรับขึ้นดอกเบี้ยของ กนง. ในวันนี้ (25 มกราคม) ว่าผลที่ออกมาถือว่าเป็นไปตามคาดของตลาด โดยในภาพรวมแถลงการณ์ของ กนง. ยังมีความคงเส้นคงวาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีก่อนหน้า ขณะที่แรงกดดันจากตลาดการเงินนอกกรอบนโยบาย เช่น ค่าเงินบาทอ่อนค่ามากเมื่อปีที่แล้ว หรือแข็งค่ามากในปีนี้ ก็ไม่ส่งผลต่อการกำหนดนโยบายการเงินแต่อย่างใด
สำหรับการตอบรับของตลาดเงิน สงวนระบุว่า ค่าเงินบาทมีอาการตกใจแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยไปแตะระดับ 32.75 บาทต่อดอลลาร์ แต่ก็อ่อนค่ากลับมาเท่ากับก่อนผลการประชุมอย่างรวดเร็วที่ 32.83 บาทต่อดอลลาร์อย่างรวดเร็ว จึงถือเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีนัยสำคัญ
ขณะที่ตลาดดอกเบี้ย ตลาด Swap Yield ปรับขึ้น 0.05-0.10% ในลักษณะ Bear Flat คือข้างหน้าขึ้นมากกว่าข้างหลัง ตลาดบอนด์ Yield ปรับขึ้น 1-3bp ในลักษณะคล้ายๆ กัน โดยก่อนหน้านี้มีนักเก็งกำไรนอกประเทศเข้ามาเก็งกำไรในลักษณะที่เชื่อว่า กนง. อาจไม่ขึ้นดอกเบี้ย รวมทั้งผลการประชุมอาจไม่เป็นเอกฉันท์ อย่างไรก็ตาม กนง. ได้แสดงให้เห็นว่า เงินบาทแข็งค่าไม่ได้ส่งผลต่อการกำหนดนโยบายการเงิน จึงทำให้แรงเก็งกำไรที่ว่าล่าถอยออกไป อย่างน้อยก็ระยะหนึ่งก่อน