วันนี้ (31 สิงหาคม) ที่รัฐสภา มานพ คีรีภูวดล สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล พร้อมด้วย สส. พรรคก้าวไกล ร่วมกับ กัณวีร์ สืบแสง สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเป็นธรรม ร่วมกันแถลงข่าว ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาหาแนวทางแก้ไขปัญหากรณีผู้ลี้ภัยจากการสู้รบในพื้นที่พักพิงชั่วคราว 9 แห่งในประเทศไทย และผู้หนีภัยจากการสู้รบแนวชายแดนไทย-พม่า
มานพกล่าวว่า กรณีผู้ลี้ภัยและผู้หนีภัยสงครามได้กระจายอยู่ที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ตาก กาญจนบุรี และราชบุรี ที่มาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่ปี 2528 โดยสถานะไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้ลี้ภัยอย่างเป็นทางการ ดังนั้นสถานะจึงกลายเป็นเพียงผู้พักพิงชั่วคราว โดยประเทศไทยเป็นประเทศปลายทางในการรับปัญหานี้โดยตรง ทั้งระยะสั้นและระยะยาว
ดังนั้นในบทบาทของสภาผู้แทนราษฎรควรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาพิจารณาปัญหาดังกล่าว เนื่องจากคณะกรรมาธิการวิสามัญสามารถตั้งบุคคลภายนอกที่มีความเชี่ยวชาญในด้านที่เกี่ยวข้องเข้ามาเป็นคณะกรรมาธิการได้
เพื่อพิจารณาว่าจะแก้ไขปัญหาคนเหล่านี้ในระดับภายในประเทศอย่างไร จะร่วมมือกับนานาประเทศได้อย่างไร และประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นปัญหาจะร่วมมือกันอย่างไร
ขณะที่กัณวีร์กล่าวว่า ความจำเป็นที่ต้องมีกรรมาธิการเพื่อใช้กรอบของกฎหมายในการแก้ไขปัญหาต่างๆ พร้อมอธิบายรายงานสถานการณ์โลกว่า เรื่องของการกลับประเทศต้นกำเนิดโดยสมัครใจเป็นเรื่องที่ดีที่สุด และแนวทางในการแก้ปัญหาโดยการตั้งถิ่นฐานในประเทศใหม่เป็นเรื่องยาก เพราะมีปริมาณคนกว่า 1 ล้านคนต่อปี
นอกจากนี้ การผสมกลมกลืนในประเทศลี้ภัยที่จะผสมกลมกลืนกันได้ กรรมาธิการจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากผู้เชี่ยวชาญ นักวิชาการ และฝ่ายนิติบัญญัติในการจัดทำแนวทางแก้ปัญหาผู้ลี้ภัยแบบยั่งยืน โดยใช้ฝ่ายนิติบัญญัติเข้ามาช่วยเหลือ ซึ่งอยากให้ผู้ที่เกี่ยวข้องให้ความสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่หรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม กระทรวงมหาดไทย หรือรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง รวมถึงเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติที่เป็นกรรมการอยู่ในสภาความมั่นคงแห่งชาติด้วย
มานพกล่าวเพิ่มเติมว่า จะประสานภาคประชาชน ภาควิชาการที่มีประสบการณ์เรื่องนี้อย่างยาวนาน และจะดำเนินการในลักษณะเป็นคณะทำงานคู่ขนานไปก่อนเพื่อความรวดเร็ว ทั้งนี้ หากคณะรัฐมนตรีได้รับรองชัดเจน คณะทำงานจะเข้าไปพูดคุยกับผู้เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ โดยจะไม่รอว่าการตั้งกรรมาธิการจะสำเร็จเมื่อใด เพราะเห็นว่ารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศคนใหม่ไม่ควรละเลยในประเด็นนี้ และควรให้ความสำคัญ