วันนี้ (19 พฤศจิกายน) ที่อาคารรัฐสภา สฤษฏ์พงษ์ เกี่ยวข้อง สส. กระบี่ พรรคภูมิใจไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาบันทึกความเข้าใจ หรือ MOU43-44 ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา สภาผู้แทนราษฎร เปิดเผยถึงความคืบหน้าว่า ตอนนี้อยู่ในขั้นตอนทำรายงาน โดยมีเวลาศึกษาจนถึงวันที่ 3 ธันวาคม นี้ ซึ่งคิดว่าไม่ทันจึงต้องขอขยายเวลาศึกษาออกไปอีก 30 วัน เพื่อให้มีเวลาในการรวบรวมเอกสาร และข้อมูล ของแต่ละฝ่ายให้ได้เต็มที่
ทั้งนี้ ทางกรรมาธิการฯ ได้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาเพื่อไปรวบรวมหลักฐานและตรวจสอบข้อมูลให้สมบูรณ์ โดยมี นิกร จำนง ผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา ในฐานะที่ปรึกษากรรมาธิการฯ เป็นประธาน
สฤษฏ์พงษ์ย้ำว่า เราประเมินทุกสถานการณ์ แต่การจะยกเลิกหรือไม่ยกเลิก MOU เป็นอำนาจของรัฐบาล แต่บทบาทของกรรมาธิการฯ ก็ทำเต็มที่เพื่อเสนอให้รัฐบาล ส่วนรัฐบาลจะฟังหรือไม่ฟังข้อมูลจากกรรมาธิการฯ ก็เป็นอำนาจของคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยในที่ประชุมขณะนี้ก็มีความเห็นที่แตกต่างกัน ทั้งในส่วนข้าราชการ อดีตข้าราชการ และภาคประชาชน แต่ในความเห็นที่แตกต่างกันก็พยายามทำความเข้าใจว่า ไม่ใช่ใครเป็นฝ่ายที่ถูกหรือฝ่ายที่ผิด แต่อาจมีฐานข้อมูลความเชื่อและการตีความที่แตกต่างกัน
สฤษฏ์พงษ์กล่าวอีกว่า ฝ่ายที่เห็นควรไม่ให้ยกเลิกก็ให้เหตุผลว่า หากเรายกเลิกเราก็จะเสียสิทธิและเสียเปรียบ ส่วนฝ่ายที่บอกว่ายกเลิกได้ทันที ก็เพราะว่าเขาผิดอนุสัญญา และเป็นจังหวะที่ประเทศไทยควรยกเลิก แต่ยังมีอีกหลายประเด็นทั้งเรื่องที่ต้องพิจารณา เช่น การตีความตามเส้นแนวเขตว่า จะใช้แนวเขตตามขอบหน้าผาหรือแนวสันปันน้ำ ซึ่งวันนี้จะมีการคุยกันในเรื่องเขตรอยต่อไทยกัมพูชาที่เป็นสันเขา และล้ำเข้ามาในดินแดนของประเทศไทยว่า ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร
สำหรับกรณีที่รัฐบาลเตรียมจัดดีเบตรับฟังความเห็นเรื่อง MOU43-44 ทางกรรมาธิการฯ จะมีส่วนร่วมอย่างไรนั้น สฤษฏ์พงษ์เห็นด้วย เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม โดยเฉพาะพี่น้องชายแดน 7 จังหวัด นำวิทยากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญให้ข้อมูล ทั้งฝ่ายที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยแก่ประชาชนตามแนวชายแดน
ส่วนการจัดเวทีดีเบตจะทำให้เสียเปรียบกัมพูชาหรือไม่ สฤษฏ์พงษ์กล่าวว่า ความได้เปรียบเสียเปรียบอยู่ที่ข้อกฎหมายอยู่แล้ว สิ่งที่ประเทศไทยเราจะได้ ก็คือประชาชนได้มีความรู้เพิ่มขึ้น และเห็นด้วยในการทำประชามติแบบประเทศประชาธิปไตย เราอย่าไปคิดว่าตอนลงนาม MOU ทำไมไม่ให้ประชาชนมีส่วนร่วม และพอคราวนี้ตัดสินใจให้ประชาชนมีส่วนร่วม
“ผมคิดว่ารัฐบาลหรือ ครม. จะตัดสินใจว่าจะยกเลิกหรือไม่ เพียงแต่ต้องการให้ประชาชนมามีส่วนร่วม และการที่กัมพูชาทำพฤติกรรมแบบนี้ เราก็ต้องเก็บข้อมูล เพราะเป็นหลักฐานเชิงประจักษ์ ต้องไปเก็บข้อมูลว่าละเมิดอย่างไร สิ่งเหล่านี้พอถึงเวลา จะย้อนกลับ และเป็นคุณประโยชน์ต่อประเทศไทย” สฤษฏ์พงษ์กล่าว
สฤษฏ์พงษ์ย้ำว่า สิ่งสำคัญที่สุดที่อยากทำความเข้าใจกับประชาชนคือ ให้ประชาชนยึดหลักผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ สิ่งที่เห็นต่างกันในข้อเท็จจริง เราอย่านำประเด็นที่เห็นต่างกันมาเพื่อชัยชนะ และทำให้กัมพูชานำประเด็นที่เห็นว่ามีประโยชน์ ไปอ้างได้ในเวทีโลก


