ต้อนรับเช้าวันใหม่กับความเคลื่อนไหวสำคัญในโลกเศรษฐกิจ การเงิน และการลงทุน ประจำวันที่ 19 พฤศจิกายน ใน THE STANDARD WEALTH Morning Brief
SoftBank ขายหุ้น 24 บริษัทในไตรมาส 3
มาซาโยชิ ซัน ได้ขายหุ้นที่ทางบริษัทถืออยู่ออกไปค่อนข้างมากในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ซึ่งยอดถือครองหุ้นได้ลดลงจากตอนปิดไตรมาส 2 จาก 17,520 ล้านดอลลาร์สหรัฐมาที่ 12,920 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยได้ขายหุ้นทั้งหมดที่ถืออยู่ในบริษัทอย่าง Amazon, Alphabet, Netflix, Microsoft และ Tesla ลดการถือครองหุ้นของ NVIDIA และ T-Mobile และได้เข้าซื้อหุ้นบริษัท LINE และ Lemonade
Pinduoduo ลุยสินค้าประเภท ‘ของชำ’ มากขึ้น
Pinduoduo บริษัทด้านอีคอมเมิร์ซของจีนที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ คาดการณ์ว่าบริษัทจะมียอดขายสินค้าประเภทของชำในปี 2020 ที่เติบโตได้เท่าตัวจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ได้เรื่องการแพร่ระบาดมาเป็นปัจจัยเร่ง เพื่อล้อไปตามกระแสนี้ ทางบริษัทจึงได้เปิดบริการด้านสินค้าสดเพิ่มขึ้นมาในชื่อว่า Duo Duo Maicai แต่บริการนี้ยังไม่ได้อยู่ในระดับสั่งแล้วส่งให้ถึงบ้าน ลูกค้ายังต้องมาหยิบสินค้าตามจุดที่กำหนด ประโยชน์ที่ลูกค้าได้รับคือลดระยะเวลาในการขนส่ง และช่วยให้เปลี่ยนสินค้าของสดในสต๊อกสินค้าได้เร็วขึ้น
หุ้นสหรัฐฯ ร่วงต่อเนื่องวันที่ 2
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน ดัชนีหลักทั้ง 3 ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงกันทั้งหมด โดยเฉพาะดัชนี Dow Jones ที่ปรับตัวลดลงมากกว่า 300 จุด ข่าวดีในเรื่องผลการทดลองวัคซีนล่าสุดของทาง Pfizer และ BioNTech ที่มีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อที่สูงขึ้นจาก 90% ในต้นสัปดาห์ก่อนมาเป็น 95% แต่ปัจจัยนี้ส่งผลให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นในตอนเปิดตลาดเพียงระยะสั้นๆ เท่านั้น การแพร่ระบาดระลอกใหม่ที่รุนแรงเข้ามามีอิทธิพลเหนือข่าววัคซีน ล่าสุดทางรัฐนิวยอร์กประกาศให้โรงเรียนต่างๆ หันมาเรียนแบบทางไกล เนื่องจากตัวเลขผู้ติดเชื้อพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ด้านความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ
1. Pfizer เผยข้อมูลล่าสุดว่าวัคซีนของบริษัทมีประสิทธิภาพในการป้องกันการติดเชื้อเพิ่มขึ้นเป็น 95% โดยมีผลการทดลองที่เสถียรในทุกกลุ่มอายุและชาติพันธุ์ ทางบริษัทมีแผนจะขอขึ้นทะเบียนกับทาง FDA สหรัฐฯ ภายในไม่กี่วันข้างหน้า
2. The Home Depot ร้านค้าปลีกสินค้าตกแต่งและซ่อมแซมบ้านรายใหญ่ของสหรัฐฯ ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดไว้
3. ประกาศตัวเลขใบอนุญาตก่อสร้าง (Building Permits) ประจำเดือนตุลาคมที่ 1.545 ล้านหน่วย น้อยกว่าที่คาดไว้เล็กน้อยที่ 1.56 ล้านหน่วย
4. ประกาศตัวเลขน้ำมันดิบคงคลังประจำสัปดาห์ เพิ่มขึ้น 0.77 ล้านบาร์เรล น้อยกว่าที่คาดไว้ที่ 1.65 ล้านบาร์เรล
‘หุ้นญี่ปุ่น’ ร่วงแรง นักลงทุนเทขายทำกำไร
ดัชนีตลาดหุ้นญี่ปุ่นปรับตัวลดลงค่อนข้างแรง โดยลดลง 286.48 จุด หรือ -1.10% นักลงทุนเริ่มขายทำกำไรกันออกมาหลังจากที่ตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ตลาดหุ้นญี่ปุ่นยังถูกกดดันจาก
1. ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในคืนวันอังคารเริ่มมีการปรับฐานลงมาจากตัวเลขยอดค้าปลีกที่ขยายตัวต่ำที่สุดในรอบ 6 เดือน
2. ตัวเลขผู้ติดเชื้อในญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยตัวเลขอยู่ในระดับมากกว่า 1,400 รายต่อวันติดต่อกันมาหลายวัน และเป็นปัจจัยที่เริ่มมีอิทธิพลต่อตลาดหุ้นมากขึ้น
ด้วยปัจจัยทั้งสองจึงส่งผลให้เกิดแรงขายในตลาดหุ้นญี่ปุ่นออกมาค่อนข้างมาก หุ้นในกลุ่มเฮลท์แคร์กลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นได้อีกครั้ง ส่วนกลุ่มเทคโนโลยี สินค้าฟุ่มเฟือย ท่องเที่ยว และสถาบันการเงิน ปรับตัวลดลงกันทั้งหมด ค่าเงินเยนแข็งค่าต่อเนื่องมาที่ 103.90 เยน
‘เงินเฟ้อ’ กลุ่มยูโรโซนยังหดตัว 0.3%
ตลาดหุ้นของประเทศเศรษฐกิจชั้นนำในยุโรปปรับตัวเพิ่มขึ้นกันเกือบทั้งหมด ตลาดได้รับปัจจัยบวกจากการรายงานผลการทดลองวัคซีน ช่วยกลบข่าวด้านลบจากตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญของกลุ่มยูโรโซนอย่างตัวเลขเงินเฟ้อที่ยังออกมาติดลบ
ด้านความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ
1. Maersk บริษัทขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ทางเรือรายใหญ่ที่สุดในโลก ประกาศผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ได้ตามที่ตลาดคาดไว้ โดยมียอดขายที่หดตัวลง -1.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้บอร์ดของบริษัทก็มีมติซื้อหุ้นคืนในวงเงิน 1,590 ล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นเวลา 15 เดือน โดยจะเริ่มโครงการในเดือนธันวาคม 2020
2. ประกาศตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อ) ของสหราชอาณาจักร (CPI) ประจำเดือนตุลาคม ขยายตัวได้ 0.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 0.6%
3. ประกาศตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (เงินเฟ้อ) ของกลุ่มยูโรโซน (CPI) ประจำเดือนตุลาคม หดตัว -0.3%YoY เท่ากับที่ตลาดคาดไว้ ปัญหาเงินเฟ้อน่าจะยังอยู่กับกลุ่มยูโรโซนไปอีกพักใหญ่ ถึงแม้จะมีการทำ QE เป็นจำนวนมากก็ตาม
4. ประกาศตัวเลขจำนวนรถยนต์ที่จดทะเบียนใหม่ในประเทศเยอรมนี (German Car Registration) ประจำเดือนตุลาคม ขยายตัว 3.4% เมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้า (MoM)