วานนี้ (15 ตุลาคม) นายแพทย์เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังประชุมทางไกลร่วมกับนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดและผู้อำนวยการโรงพยาบาลทั่วประเทศ ถึงการบริหารจัดการวัคซีนโควิด และการเปิดเมืองว่า สถานการณ์โรคโควิดของประเทศไทยอยู่ในระดับทรงตัว มีการติดเชื้อประมาณวันละ 1 หมื่นราย เสียชีวิตเกือบ 100 ราย จึงได้กำชับให้ทุกจังหวัดร่วมกันควบคุมโรคให้การติดเชื้อไม่เกิน 5 พันราย และเสียชีวิตไม่เกิน 30 ราย รวมถึงคงระบบการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อที่บ้านและที่ชุมชนต่อเนื่อง เพื่อให้โรงพยาบาลดูแลผู้ป่วยที่มีอาการได้อย่างเพียงพอ
สำหรับปัจจัยที่ทำให้โรคโควิดเริ่มทรงตัว เนื่องจากบางพื้นที่มีการติดเชื้อลดลง เช่น ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กทม. และปริมณฑล โดยคาดว่าสัปดาห์หน้าการติดเชื้อของ กทม. น่าจะลดลงจากหลักพันรายเหลือหลักร้อยราย
ส่วนบางพื้นที่ที่ยังมีการติดเชื้อสูงขึ้น คือ ภาคใต้ ภาคกลาง และภาคตะวันออก ได้เสนอที่ประชุม ศบค.ให้มีการตั้ง ศบค. ส่วนหน้าเพื่อควบคุมสถานการณ์ และเร่งรัดการฉีดวัคซีนให้ครอบคลุมมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อไม่ได้สูงขึ้นในทุกจังหวัด จึงจัดทำจังหวัด ‘Watch List’ หรือต้องจับตามองที่มีการระบาดในชุมชนเพิ่มขึ้น ต้องได้รับการช่วยเหลือสนับสนุน 10 จังหวัด ได้แก่ สงขลา, ยะลา, นราธิวาส, ปัตตานี, นครศรีธรรมราช, ตาก, ราชบุรี, ระยอง, จันทบุรี และนครราชสีมา โดยให้มีการวิเคราะห์สถานการณ์และจัดทำแผนควบคุมโรค เร่งตรวจคัดกรองด้วย ATK ฉีดวัคซีนกลุ่ม 608 ให้ครบ 2 เข็มตามเป้าหมาย สื่อสารมาตรการป้องกันตนเองสูงสุดตลอดเวลา และมาตรการองค์กร COVID Free Setting
นายแพทย์เกียรติภูมิกล่าวต่อว่า ภายในสิ้นเดือนตุลาคมนี้ ตั้งเป้าหมายว่าทุกจังหวัดต้องฉีดให้ได้ร้อยละ 50 โดยมีพื้นที่เป็น COVID Free Area 1 แห่งที่ฉีดได้อย่างน้อยร้อยละ 70 และกลุ่ม 608 ฉีดให้ได้ร้อยละ 80 โดยกรมควบคุมโรคจัดส่งวัคซีน Sinovac สำหรับฉีดเป็นเข็มที่ 1 จำนวน 1.4 ล้านโดส และ AstraZeneca เป็นเข็มที่ 2 อีก 1.4 ล้านโดส คาดว่าจะส่งถึงพื้นที่วันที่ 19 ตุลาคมนี้ และทยอยส่งทุกสัปดาห์เพื่อให้บรรลุตามเป้าหมาย โดยเฉพาะจังหวัดนำร่องท่องเที่ยวรวม 17 จังหวัด รองรับการเปิดเมืองวันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ได้จัดสรรวัคซีน Sinovac อีก 699,908 โดส ซึ่งเพียงพอต่อการบรรลุเป้าหมาย