วันนี้ (26 พฤศจิกายน) อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้ประเทศไทยฉีดวัคซีนโควิดแล้ว 47 ล้านคน จากเป้าหมาย 50 ล้านคน ยังมีผู้ไม่ได้รับวัคซีนอีก 3 ล้านคน คาดว่าจะฉีดครบ 100 ล้านโดสภายในสิ้นเดือนพฤศจิกายนนี้ โดยทุกแห่งจะเร่งรัดฉีดวัคซีนให้กับผู้ที่ยังไม่ได้รับ โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้ป่วยติดเตียง หญิงตั้งครรภ์ เด็ก และขยายไปถึงกลุ่มแรงงานต่างด้าว เนื่องจากผู้ไม่ได้รับวัคซีนมีความเสี่ยงติดเชื้ออาการหนักและเสียชีวิต ทั้งนี้ ยืนยันว่าวัคซีนทุกชนิดที่กระทรวงสาธารณสุขจัดซื้อเป็นวัคซีนที่ได้มาตรฐาน มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลลดความเสี่ยงติดเชื้อ ป้องกันการป่วยหนักและเสียชีวิตได้
อนุทินกล่าวว่า คนที่ยังไม่ได้รับวัคซีนแยกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เข้าไม่ถึงวัคซีน เนื่องจากอยู่ห่างไกล ไม่ทราบข้อมูลการฉีด ได้ให้ทุกพื้นที่ออกสำรวจและจัดบริการฉีดเชิงรุก และกลุ่มที่รอวัคซีนทางเลือก mRNA ซึ่งในฐานะคนไทยสามารถมารับวัคซีน mRNA ที่รัฐจัดหาให้ได้ และควรมารับวัคซีนโดยเร็วที่สุดเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ทั้งนี้ ผู้ที่จองวัคซีนทางเลือกส่วนใหญ่จะอยู่ในกรุงเทพมหานคร จึงให้อธิบดีกรมการแพทย์ อธิบดีกรมควบคุมโรค และอธิบดีกรมสุขภาพจิต จัดสถานที่ฉีดวัคซีน mRNA 3 แห่ง คือ ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ สถาบันบำราศนราดูร และโรงพยาบาลศรีธัญญา สำหรับผู้ที่ยังไม่ได้รับวัคซีนเข็มแรกหรือผู้ที่จองซื้อวัคซีนทางเลือกไว้ ส่วนผู้ที่จองวัคซีนทางเลือกในต่างจังหวัดจะให้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสำรวจและจะจัดส่งวัคซีน mRNA ไปให้
“วันนี้จะเสนอ ศบค. ให้มีการเข้มงวดมาตรการ COVID Free Setting และ SHA Plus เช่น ร้านอาหาร ต้องตรวจสอบทั้งเจ้าของร้านและพนักงานที่ให้บริการทุกคนว่าฉีดวัคซีนครบถ้วนแล้วหรือไม่ หากยังไม่ฉีดต้องไม่ให้เปิด หรือลูกค้าหากยังไม่ฉีดก็ไม่ควรอนุญาตให้นั่งในร้าน ยกเว้นสั่งกลับบ้าน เมื่อเทียบกับหลายประเทศที่มีการติดเชื้อเพิ่มขึ้น ถือว่าประเทศไทยมีการเฝ้าระวังและป้องกันที่ดี ซึ่งหากประชาชนยังให้ความร่วมมือเหมือนที่ผ่านมา โอกาสจะเกิดการระบาดสูงเหมือนต่างประเทศจะน้อยลง” อนุทินกล่าวในที่สุด