×

มนต์รักทรานซิสเตอร์ บันทึกความเหลื่อมล้ำที่กัดกร่อนหัวใจและความฝันของคนหนุ่มสาว ในวันที่ทั้งสองนั้นไกลห่าง

14.07.2022
  • LOADING...
มนต์รักทรานซิสเตอร์

อะไรคือสิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งยังคงเป็นที่จดจำของผู้ชมมาจนถึงปัจจุบัน? 

 

สิ่งเหล่านั้นก็คงหนีไม่พ้นเนื้อหาที่ดีและสื่อสารง่าย วิธีการนำเสนอที่น่าสนใจ เรื่องราวที่น่าจดจำของตัวละครภายในเรื่อง ความสนุกที่เต็มไปด้วยความแปลกใหม่ ที่มาพร้อมกับการบอกกล่าวถึงบางสิ่งบางอย่างในชีวิตของมนุษย์หรือสังคม แต่ในบางครั้งสิ่งที่ดึงดูดให้ผู้ชมจดจำนั้น ก็อาจจะเป็นความหดหู่และน่าเศร้าของสิ่งที่เรียกว่าชะตากรรมด้วยเช่นกัน

 

ซึ่งในวันพรุ่งนี้ (15 กรกฎาคม) หนึ่งในภาพยนตร์ที่มีองค์ประกอบเหล่านั้นอยู่เต็มเปี่ยมอย่าง มนต์รักทรานซิสเตอร์ ก็จะกลับมาพาผู้ชมหวนรำลึกเรื่องราวกันอีกครั้งบนจอภาพยนตร์ ในเทศกาลภาพยนตร์ กรุงเทพกลางแปลง ที่จัดขึ้น ณ ศูนย์เยาวชนคลองเตย เขตคลองเตย

 

มนต์รักทรานซิสเตอร์

 

มนต์รักทรานซิสเตอร์ คือหนึ่งในผลงานภาพยนตร์ที่ยังคงแหวกว่ายผ่านกาลเวลามาจนถึงปัจจุบันของหนึ่งในผู้กำกับแห่งยุคอย่าง ต้อม-เป็นเอก รัตนเรือง ที่ดัดแปลงมาจากวรรณกรรมชั้นเยี่ยมในชื่อเดียวกันของนักเขียนเจ้าของรางวัลศรีบูรพาผู้ล่วงลับ วัฒน์ วรรลยางกูร ซึ่งถ่ายทอดเรื่องราวในชนบทและเมืองเหมือนกับด้านที่ตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง ผ่านอารมณ์และรูปแบบต่างๆ ที่มีทั้งเบาสมอง จริงจัง เกินจริง เพ้อฝัน ฯลฯ หรือบางครั้งก็นำลักษณะของละครเพลงมาใช้ในรูปแบบที่สร้างสีสันและความบันเทิงให้กับคนดู โดยได้ ต๊อก-ศุภกรณ์ กิจสุวรรณ และ อุ้ม-สิริยากร พุกกะเวส มาร่วมกันพาผู้ชมไปสำรวจเรื่องราวความรักของคนชนบทที่คละคลุ้งไปด้วยมนตร์เสน่ห์ของเพลงลูกทุ่ง และความอยุติธรรมในสังคมที่คอยกัดกินหัวใจและความฝันของคนทั้งสองในวันที่ไกลห่าง

 

โดย มนต์รักทรานซิสเตอร์ ฉบับภาพยนตร์จะบอกเล่าเรื่องราวของ แผน (รับบทโดย ต๊อก-ศุภกรณ์ กิจสุวรรณ) หนุ่มบ้านนอกผู้ชื่นชอบการร้องเพลงลูกทุ่งและเอ็นเตอร์เทนคนดูตามงานวัดต่างๆ จนวันหนึ่งเขาได้พบกับ สะเดา (รับบทโดย อุ้ม-สิริยากร พุกกะเวส) หญิงสาวแสนสวยที่งานวัดในหมู่บ้านบางน้ำไหลเป็นครั้งแรก และในไม่นานทั้งคู่ก็ได้ลงเอยด้วยการแต่งงานกัน โดยแผนได้ให้ ‘วิทยุทรานซิสเตอร์’ เครื่องเล็กๆ เครื่องหนึ่งไว้กับสะเดา เพื่อเป็นของขวัญที่ระลึกวันแต่งงาน แต่แล้ววันหนึ่งขณะที่สะเดาตั้งท้องได้ 5 เดือน แผนก็ได้รับจดหมายให้ไปเกณฑ์เป็นทหาร ทำให้ตัวของเขานั้นต้องแยกห่างจากลูกเมียของตนไปอยู่ในที่ที่ไกลแสนไกลเกินกว่าหัวใจจะเชื่อมถึงกัน และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นที่จะพลิกเรื่องราวความรักของคนทั้งสองให้ไม่เหมือนภาพฝันอีกต่อไป

 

หากใครก็ตามที่เคยได้รับชมเรื่องราวความรักระหว่างแผนกับสะเดากันไปแล้ว ก็คงจะรู้ซึ้งถึงเรื่องราวของพวกเขากันเป็นอย่างดี แต่ในวันนี้ THE STANDARD POP อยากจะพาผู้อ่านทุกท่านที่ไม่เคยมีโอกาสได้รับชมภาพยนตร์เรื่องนี้ไปดูว่า เพราะเหตุใด มนต์รักทรานซิสเตอร์ และเรื่องราวความรักของพวกเขานั้น ถึงยังคงตราตรึงอย่างไม่เสื่อมคลายอยู่ในใจของผู้ที่เคยได้รับชมภาพยนตร์เรื่องนี้มาจนถึงทุกวันนี้

 

มนต์รักทรานซิสเตอร์

 

สิ่งแรกที่ทำให้หลายคนรู้สึกได้ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีความน่าสนใจเป็นอย่างมาก ก็คงหนีไม่พ้น ‘วิธีการเล่าเรื่อง’ ที่ดูจะแปลกตาไปกว่าภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ พอสมควร เพราะหากใครก็ตามที่เคยได้รับชมกันไปแล้ว ก็คงจะรู้สึกได้ว่าสิ่งที่ตัวเองกำลังดูอยู่นั้นไม่ได้ให้ความรู้สึกเหมือนเป็นภาพยนตร์เสียทีเดียว แต่มันกลับให้ความรู้สึกเหมือนกำลังนั่งฟังคนเล่านิทานอยู่มากกว่า เพราะตัวละครต่างๆ ภายในเรื่องจะคอยมีปฏิสัมพันธ์กับคนดูที่อยู่นอกจออย่างเราเป็นระยะๆ ในขณะที่ภาพยนตร์กำลังดำเนินเรื่องราวของมันอยู่ ซึ่งส่งผลให้ผู้ชมรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนั้นจริงๆ ไม่ใช่แค่คนที่กำลังดูเรื่องราวของโลกใบนั้นที่กำลังดำเนินอยู่

 

มนต์รักทรานซิสเตอร์

 

ซึ่งมันส่งผลให้เรื่องราวที่ มนต์รักทรานซิสเตอร์ ตีแผ่ อย่างการเป็นภาพสะท้อนชีวิตของผู้คนที่อาศัยอยู่ในชนบทและความอยุติธรรมของสังคมนั้นเด่นชัดและ ‘จริง’ มากขึ้นตาม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวที่ผิดแผนของตัวละครที่นำพาพวกเขาไปในที่ที่ไม่รู้จัก การกลายเป็นบางสิ่งบางอย่างที่ดูจะห่างไกลจากตัวตนเดิม หรือแม้กระทั่งการโดนความเหลื่อมล้ำทางสังคมเล่นงานและตัดโอกาสต่างๆ ในชีวิตไป ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ซัดถาโถมเข้าใส่พวกเขาไปพร้อมกับคนดูอย่างไม่ปรานี หลังจากที่ม่านนิทานแห่งความจริงเรื่องนี้ได้เปิดฉากขึ้น และเราก็คงจะพูดได้แค่สั้นๆ ว่า มันช่างเป็นเรื่องราวที่หวานอมขมกลืนยิ่งนัก 

 

ถึงแม้เนื้อหาภายในเรื่องนั้นจะชวนให้หัวใจพองโตหรือหดหู่มากแค่ไหนก็ตาม แต่สิ่งหนึ่งที่ยังคงเป็นมนตร์เสน่ห์หลักของภาพยนตร์ที่ทำให้หลายคนหลงรักมาจนถึงทุกวันนี้ก็คือ ‘เพลงลูกทุ่ง’ ที่ถูกสอดแทรกเข้าไปภายในเนื้อหาอันเบาสมองและเข้มข้นในเวลาเดียวกัน โดยเพลงเหล่านั้นก็คือสิ่งที่บ่งบอกถึงตัวตน ความฝัน ความรู้สึก และความต้องการของตัวละครในเวลานั้น ซึ่งองค์ประกอบสำคัญนี้เองที่ทำให้ มนต์รักทรานซิสเตอร์ ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยความ ‘คลาสสิก’ และ ‘ร่วมสมัย’ มาจนถึงปัจจุบัน

 

“ไม่ลืม…ไม่ลืมไม่เลือนเหมือนเดือนคู่ฟ้า”

 

มนต์รักทรานซิสเตอร์

 

และเรื่องราวเหล่านั้นจะฉายแสงออกมาบนจอภาพยนตร์อย่างแท้จริงไม่ได้เลย หากขาดการแสดงของทุกคนที่เติมเต็มให้ตัวละครต่างๆ ภายในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นตัวหลักหรือตัวรอง ให้มีเสน่ห์ราวกับมีเวทมนตร์ที่สามารถสะกดคนดูได้ทุกครั้งเมื่อพวกเขาปรากฏตัว

 

จนบางทีคำว่า ‘มนต์’ อาจไม่ได้มีไว้แค่ประดับชื่อเรื่องเพียงอย่างเดียว เพราะสิ่งที่ภาพยนตร์นำเสนออกมานั้นมันช่างเต็มไปด้วยมนตร์เสน่ห์มากมายอย่างเหลือล้น โดยเฉพาะเรื่องราวความรักของคนหนุ่มสาวในชนบทที่คละคลุ้งไปด้วยบรรยากาศเพลงลูกทุ่งตามงานวัด และความเหลื่อมล้ำของสังคมที่คอยกัดกร่อนหัวใจและความฝันของผู้คนไปอย่างช้าๆ ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้นถูกนำเสนออกมาในรูปแบบที่เข้าใจง่าย ตลกร้าย เป็นมิตร และสร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมเป็นอย่างมาก

 

มนต์รักทรานซิสเตอร์

 

ทำให้ มนต์รักทรานซิสเตอร์ ยังคงเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ร่วมสมัยที่ถึงแม้กาลเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เรื่องราวเหล่านั้นก็ยังคงได้รับการตอบรับจากผู้ชมอยู่เสมอ เพราะถ้าหากพูดกันตามตรงแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราเห็นกันอยู่ในภาพยนตร์นั้นก็ยังคงเป็นสิ่งที่พบเห็นกันได้ทั่วไปในสังคมไทยปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นเพลงลูกทุ่งหรือความเหลื่อมล้ำในสังคม ที่บางทีสิ่งเหล่านั้นก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราโดยที่เราไม่ทันรู้ตัว

 

เพราะถึงแม้กาลเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่บางสิ่งบางอย่างกลับ ‘ไม่เคยเปลี่ยนแปลง’ ไปตามกาลเวลาเลย 

 

มนต์รักทรานซิสเตอร์ มีกำหนดฉายในเทศกาลภาพยนตร์ ‘กรุงเทพกลางแปลง’ วันที่ 15 กรกฎาคมนี้ ที่ศูนย์เยาวชนคลองเตย เขตคลองเตย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งโปรแกรมสำคัญที่ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง แต่ถ้าหากใครไม่สะดวกที่จะไปร่วมงานก็สามารถรับชมความยอดเยี่ยมเหล่านั้นได้ทาง Netflix

 

  

  • LOADING...

READ MORE




Latest Stories

Close Advertising
X