×

ติดตามสถานการณ์อัตราดอกเบี้ย

09.12.2025
  • LOADING...
ติดตามสถานการณ์อัตราดอกเบี้ย

ภาพรวมการลงทุนในเดือนพฤศจิกายน ก็ได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่เรื่องการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ และแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ Fed ที่มีกระแสว่าจะชะลอไปก่อน ซึ่งก็สร้างความผันผวนให้กับภาพการลงทุนโดยเฉพาะตลาดตราสารหนี้ ในขณะที่ตลาดหุ้นเองก็ได้ผลกระทบเชิงท้าทายต่อทิศทางการปรับตัวสูงขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี โดยเฉพาะธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่มีมุมมองว่ามูลค่าเงินลงทุนเพื่อการขยายตัวเทียบกับผลกำไรที่จะได้ในอนาคตอาจจะไม่สอดคล้องกัน คือนักลงทุนทั่วโลกเกิดความกังวลต่อภาวะฟองสบู่ในธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) ส่งผลให้เกิดการลดน้ำหนักการลงทุนในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีออกมาอย่างมีนัยสำคัญในช่วงครึ่งหลังของเดือน

 

ดัชนีหุ้นโลก MSCI ACWI index มีผลตอบแทนติดลบเล็กน้อยที่ 0.5% โดยดัชนีหลักอย่าง Nasdaq มีผลตอบแทนติดลบ -2.15% ที่ลดลงจากการปรับฐานของกลุ่ม เทคโนโลยี ดัชนี S&P500 มีผลตอบแทนติดลบเล็กน้อย ที่ -0.40% ในขณะที่ตลาดหุ้นยุโรป เช่น ตลาดเยอรมัน DAX ให้ผลตอบแทนติดลบราว -1% สำหรับ STOXX600, CAC40 และ FTSE100 ไม่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ

 

ส่วนตลาดหุ้นเอเชีย มีผลตอบแทนติดลบนำโดยดัชนีที่มีหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเป็นน้ำหนักสำคัญ เช่น Nikkei225 มีผลตอบแทนติดลบ -5.44% ตามด้วย Taiwan weighted index ปรับตัวติดลบ -2.9% ดัชนี KOSPI มีผลตอบแทนติดลบ -3.57% พร้อมกันนี้ดัชนี CSI300 และ Hang Seng index ติดลบราว -2.65% และ -0.1% ตามลำดับ

 

ผลจากการปิดหน่วยงานราชการของสหรัฐฯ เนื่องจากสภาไม่สามารถผ่านงบประมาณประจำปีได้ ทำให้ในรอบนี้ต้องปิดทำการกว่า 1 เดือน ส่งผลให้ข้อมูลสำคัญทางเศรษฐกิจขาดหายมีผลทำให้การตัดสินใจของ Fed ในรอบนี้มีข้อมูลไม่เพียงพอและอาจจะทำให้การประชุมในเดือนธันวาคมนี้จะไม่มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ตามมาด้วยประเด็นความกังวลต่อผลการดำเนินงานในอนาคตของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่เน้นเพิ่มเงินลงทุนอย่างต่อเนื่องในธุรกิจปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ดูมากเกินความจำเป็น การที่เงินลงทุนกระจุกตัวอยู่ในหุ้นไม่กี่ตัวก่อให้เกิดกระแสความกังวลว่ามีภาวะฟองสบู่ในกลุ่มเทคโนโลยีก็เกิดแรงขายออกมาช่วงหนึ่ง มาจนถึงช่วงปลายเดือนมีข้อมูลทางเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ออกมา ได้แก่ ตัวเลขด้านการผลิตและการบริโภค ตัวเลขอ่อนแอกว่าที่คาดการณ์ บวกกับการให้สัมภาษณ์ของกรรมการ Fed สาขา นิวยอร์ก ที่สนับสนุนการลดดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุม FOMC ในเดือน ธันวาคม ส่งผลทำให้โอกาสการลดดอกเบี้ยกลับเพิ่มมาเป็น 80% และช่วยหนุน sentiment ตลาดปรับตัวเพิ่มขึ้นจากช่วงกลางเดือน

 

สำหรับภาวะการลงทุนในประเทศไทยในส่วนของตราสารหนี้มีทิศทางสอดคล้องไปกับตลาดต่างประเทศ เพราะกนง. กับ FOMC มีการประชุมในช่วงเวลาใกล้กัน และน่าจะมีทิศทางใกล้เคียงกัน ส่วนหุ้นไทยเองก็เคลื่อนไหวในแดนลบเหมือนหุ้นในภูมิภาคเอเชีย ดัชนีตลาดหุ้นในเดือนพฤศจิกายน 2568 ปรับลดลง 4.03% นักลงทุนยังคงกังวลต่อผลกระทบสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ แม้ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างมีนัยสำคัญ แต่เป็นจิตวิทยาลบต่อการลงทุน ในขณะเดียวกันยังคงเป็นช่วงเวลาของความไม่แน่นอนทางการเมืองที่อาจจะมีการยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่เกิดขึ้นได้

 

แนวโน้มเดือนธันวาคมก็คงมีแค่ประเด็น Fed และกนง. ลดอัตราดอกเบี้ยในช่วงกลางเดือนธันวาคม การเยียวยาและการกระตุ้นเศรษฐกิจหลังน้ำท่วม การเมืองที่มีแนวโน้มที่จะยุบสภา นอกนั้นก็เรื่องปัญหาชายแดน ไทย-กัมพูชา ส่วนปัจจัยหนุนสำคัญก็น่าจะเป็นกองทุนลดหย่อนภาษี ต่างๆ ไม่ว่า จะเป็น RMF กองทุน Thai ESG Thai ESGX และอาจจะการลงทุนลดหย่อนภาษี หรือ TISA (Thailand Individual Savings Account) เป็นบัญชีเงินออมเพื่อการลงทุนในหุ้น ที่ต้องดูว่าจะประกาศใช้ทันในเดือนนี้หรือไม่

 

พอร์ตการลงทุนเดือนธันวาคม ผมมองว่าการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลงถือเป็นโอกาสดี ดังนั้นการคงหรือเพิ่มน้ำหนักการลงทุนในช่วงนี้ น่าจะปลอดภัย เน้นถือหุ้น 60% ลงทุนใน อเมริกา จีน ยุโรป อินเดีย ไทย เน้น เอเชีย ส่วนอีก 30% ลงตราสารหนี้เอกชน ระยะกลาง 3-5 ปี ระดับ investment grade แต่ถ้าสามารถรับความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนได้ เพราะ ค่าบาทต่อดอลลาร์ ที่ 32.0 – 32.5 ถือว่าเป็นระดับที่ปลอดภัยที่จะนำเงินไปลงทุนในต่างประเทศ ก็สามารถลงทุนใน US Treasury ได้ ซึ่งอาจจะให้ผลตอบแทนสูงกว่า 3.0% (ไม่ป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน) ส่วน 10% ที่เหลือกระจายลงทุนในทองคำครับ

 

ภาพ: Khanchit Khirisutchalual/Getty Images

  • LOADING...

READ MORE






Latest Stories

Close Advertising