ช่วงปลายปีที่ผ่านมา ตอนที่ผมเดินเข้าออกร้านหนังสือเป็นว่าเล่น (ถ้าให้พูดตามตรงคือต้องการใบลดหย่อนภาษี) สินค้ากลุ่มหนึ่งที่เห็นอยู่เสมอนอกเหนือจากหนังสือหรือนิตยสารคือพวกโน้ตบุ๊กและปฏิทินต่างๆ ซึ่งแน่นอนว่าแบรนด์ Moleskine ก็เด่นมาจากไกลด้วยตัวเลือกมหาศาล ทั้งสีสัน รูปแบบ และลวดลายพิเศษที่ทำกับศิลปินคนอื่นหรือเหล่าตัวละครต่างๆ โดยเชื่อได้ว่าสิ่งนี้ก็เกิดขึ้นในอีกหลายประเทศทั่วโลกอย่างแน่นอน และ Moleskine กำลังได้ก้าวขึ้นมาเป็น Global Brand อย่างแท้จริง
ล่าสุดผมได้สัมภาษณ์ทางอีเมลกับ โรแบร์โต โรเบตติ Chief Marketing Officer Global ของ Moleskine เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ของแบรนด์ ตั้งแต่จุดเริ่มต้น การขยายอาณาจักร และการมีตัวตนที่แข็งแกร่งท่ามกลางยุคดิจิทัลที่ได้ Disrupt สินค้ากระดาษอย่างมากมาย
คงต้องเริ่มด้วยคำถามนี้ Moleskine เริ่มต้นได้อย่างไร และชื่อนี้มาจากไหน
แนวคิดนี้เกิดขึ้นในปี 1994 หลังผู้ก่อตั้ง มาเรีย เซเบรกอนดิ ได้อ่านผลงานของ บรูซ แชตวิน ผู้เขียนหนังสือ The Songlines โดยเขาได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับสมุดบันทึกเล่มโปรด ซึ่งตอนนั้นเขาตั้งชื่อเล่นให้สมุดบันทึกเล่มนั้นว่า Moleskine สมุดบันทึกเดียวกันนี้ยังเป็นที่ชื่นชอบของศิลปินในตำนาน เช่น ปาโบล ปิกัสโซ และเออร์เนสต์ เฮมิงเวย์ เมื่อมาเรียค้นพบว่าการผลิตสมุดบันทึกดังกล่าวได้ยุติลง เธอจึงเกิดความคิดในการผลิตสมุดบันทึก และทำให้ Moleskine จึงกลับมามีชีวิตอีกครั้งในปี 1997
ผลิตภัณฑ์แรกของ Moleskine คืออะไร
ผลิตภัณฑ์แรกของ Moleskine คือสมุดบันทึกแบบคลาสสิกสีดำที่วางขายในร้านหนังสือท้องถิ่นของเมืองมิลาน ตามแนวคิดที่ว่ามันเป็น ‘หนังสือที่ยังไม่ได้เขียน’ เพื่อที่จะได้นำมาเติมเต็มด้วยการจดบันทึกและการวาดภาพ เหมาะสำหรับพกติดตัวไปไหนมาไหนเพื่อบันทึกเรื่องราวและแนวคิดต่างๆ ของโลกที่เต็มไปด้วยเหตุการณ์และจินตนาการ
ทุกวันนี้มีผู้ค้าปลีกกี่รายที่จำหน่าย Moleskine ทั่วโลก และมีร้านค้าในรูปแบบดั้งเดิมกี่ร้าน
Moleskine ที่เป็นร้านของเราเองมีอยู่มากกว่า 80 ร้านทั่วโลก และอีก 27,500 จุดขายใน 114 ประเทศ
ตลาดในประเทศไทยมีความสำคัญอย่างไรกับ Moleskine
สำหรับ Moleskine ประเทศไทยเป็นตลาดที่กำลังเติบโต และเป็นตลาดที่สำคัญมาก เนื่องจากจุดยืนของแบรนด์ที่ต้องการรวบรวมและบ่มเพาะความคิดสร้างสรรค์ในทุกแง่มุม รวมถึงเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตขึ้นในประเทศไทยในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งเราสนใจเป็นอย่างมาก มันเป็นสิ่งสำคัญสำหรับ Moleskine ที่จะจัดหาเครื่องมือเพื่อสนับสนุนจินตนาการและเพิ่มประสิทธิภาพทางการผลิตไปพร้อมๆ กับการเติบโตของสังคมไทย
สมุดบันทึกของคุณผลิตที่ไหน มีโรงงานเป็นของตัวเองหรือเปล่า
สมุดบันทึกของเราผลิตขึ้นทั่วโลก ในเอเชียก็เป็นฐานกำลังการผลิตจำนวนมาก ที่ผ่านมาเราไม่ได้เป็นเจ้าของโรงงาน แต่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา Moleskine ได้ร่วมมือกับซัพพลายเออร์จากหลากหลายสาขา สมุดบันทึกบางส่วนทำด้วยมือภายในเอเชียเท่านั้น มันเป็นงานฝีมือที่สร้างขึ้นมาด้วยคนที่มีความเชี่ยวชาญด้านนี้ นอกจากนี้วัสดุสำหรับผลิตสินค้าของเรายังมาจากหลายประเทศทั่วโลก เช่น ญี่ปุ่น อิตาลี และเกาหลี
พอจะบอกได้ไหมว่าตอนนี้สมุดบันทึกของ Moleskine มีวางขายจำนวนเท่าไร และคุณผลิตสมุดบันทึกได้กี่เล่มต่อปี
ไม่สามารถตอบได้ว่ามีจำนวนเท่าไร แต่คิดว่าคงมีจำนวนมากพอ เปรียบได้กับระยะทางจากกรุงเทพฯ ถึงมิลานและกลับมาอีกครั้ง!
เกณฑ์ที่คุณใช้ในการร่วมมือกับแบรนด์การ์ตูนหรือบุคคลอื่นมีอะไรบ้าง
Moleskine เป็นแบรนด์ที่บอกเล่าเรื่องราวซึ่งเชื่อมโยงเข้ากับมรดกทางศิลปะ วรรณกรรม วัฒนธรรม และการเดินทาง รวมถึงเป็นเวทีสำหรับความคิดสร้างสรรค์ในทุกรูปแบบตั้งแต่การเขียนเพลงไปจนถึงการ์ตูน และทุกที่ที่มีจินตนาการ ดังนั้นการร่วมมือกับบุคคลอื่นและแบรนด์อื่นๆ เราจะพยายามร่วมมือกับแบรนด์หรือบุคคลที่มีวิสัยทัศน์คล้ายกันเป็นอันดับแรก
มีคู่แข่งจำนวนมากในตลาด คุณจะทำให้ผลิตภัณฑ์ดูสมัยใหม่และมีความแตกต่างจากคนอื่นได้อย่างไร
แน่นอนว่าเราต้องมีคู่แข่งอยู่อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม แทนที่จะพยายามแข่งขันกับคู่แข่งในรูปแบบเดิมๆ เราคิดว่า ‘ความจริง’ คือสิ่งสำคัญที่เรายึดมั่น ซึ่งเป็นจุดยืนของ Moleskine เราต้องมั่นใจว่าจะส่งมอบสิ่งที่เป็นตัวตนของแบรนด์เสมอ ในขณะเดียวกัน เราต้องฟังความต้องการของลูกค้า ต้องมีการสื่อสารที่จริงใจกับลูกค้า เพราะเราไม่ได้เป็นเพียงแค่ผลิตภัณฑ์ แต่สินค้าของแบรนด์เรามีความหมายในตัวเอง
คุณได้ลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อค้นหาวิธีการใหม่ๆ ในการสร้างผลิตภัณฑ์เพื่อตอบรับกับยุคสมัยอย่างไรบ้าง
เทคโนโลยีเป็นส่วนสำคัญของการวิจัยและพัฒนาอย่างชัดเจน เราได้ร่วมมือกับพันธมิตรรายใหม่ เช่น Digital Studios ที่ช่วยพัฒนาแอปพลิเคชันของเรา ซึ่งยังรวมถึงการร่วมงานกับ Bonobo และ NeoLAB ผู้พัฒนาระบบการเขียน Moleskine Smart Writing System อีกด้วย
สินค้ารูปแบบดิจิทัลได้รับการตอบรับที่ดีหรือไม่
ในแง่ของโลกแห่งดิจิทัล เราเชื่อมั่นว่ากระดาษและดิจิทัลไม่ได้แยกจากกัน มันชัดเจนว่าทั้งสองมีความเกี่ยวข้องกันมากๆ ผู้คนในโลกปัจจุบันยังคงพึ่งพากระดาษ แต่ดิจิทัลก็มีความสำคัญ สิ่งนี้เป็นเป้าหมายของเราในการสร้างเครื่องมือที่จะเชื่อมโลกทั้งสองเข้าด้วยกัน และเรายินดีกับผลลัพธ์ที่ได้
เราอาศัยอยู่ในโลกดิจิทัลที่ทุกอย่างทำบนโทรศัพท์ สิ่งนี้ส่งผลกระทบต่อแบรนด์และการขายของ Moleskine อย่างไร
อย่างที่ได้กล่าวไว้ Moleskine ได้สร้างเครื่องมือที่เชื่อมโยงโลกดิจิทัลเข้ากับกระดาษ หรือที่เราเรียกว่า Moleskine+ และความเชื่อมั่นในระบบดิจิทัลที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกทำให้การตอบรับของแบรนด์ดีขึ้น เพราะเราต้องการให้ลูกค้ามีตัวเลือกที่สอดคล้องกับวิถีชีวิตของพวกเขา
ตัวอย่างเช่น ระบบการเขียนอัจฉริยะที่จะช่วยให้ผู้ใช้สร้างงานหรือจดบันทึกบนอุปกรณ์ดิจิทัลได้ด้วยตัวเอง มันประกอบไปด้วยปากกาอัจฉริยะและสมุดบันทึกที่วิเศษมาก เราสามารถแบ่งปันบันทึกย่อกับเพื่อนร่วมงานได้โดยแตะไอคอนที่อยู่ในแต่ละหน้าของสมุดบันทึกอัจฉริยะที่เชื่อมต่อกับแอปพลิเคชัน และยังสามารถคัดลอกบันทึกย่อที่เขียนด้วยลายมือลงในคอมพิวเตอร์ได้ด้วย
หลายคนอาจไม่รู้ว่า Moleskine มีมูลนิธิของตัวเองด้วย คุณช่วยเล่ารายละเอียดให้ฟังหน่อย
มูลนิธิ Moleskine เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหาผลกำไร เราเชื่อว่าการศึกษาที่มีคุณภาพเป็นกุญแจสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกของสังคมและขับเคลื่อนอนาคต เรามุ่งเน้นไปยังชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการกีดกันทางวัฒนธรรมและสังคม โดยเราได้จัดหาเครื่องมือและการศึกษาที่แปลกใหม่ให้แก่เยาวชน เพื่อจะช่วยส่งเสริมการคิดเชิงวิพากษ์ ความคิดสร้างสรรค์ และการเรียนรู้ มูลนิธิมุ่งเน้นไปที่ประเด็นสำคัญคือการศึกษาเกี่ยวกับศิลปวัฒนธรรม โดยมุ่งเน้นที่แอฟริกาเป็นพิเศษ
ส่วนโครงการอื่นๆ ในอนาคต คุณมีแผนอะไรอีกบ้าง
ในช่วงครึ่งแรกของปี 2019 เราจะดำเนินการพัฒนาโครงการที่จะเสริมสร้าง Moleskine+ ของเราต่อไป ส่วนอีกหนึ่งโครงการที่น่าสนใจคือ FOLD นิตยสารออนไลน์ที่ให้ความสำคัญกับกระบวนการการสร้างสรรค์ไปสู่ผู้ใช้งาน อีกอย่างคือคอลเล็กชันกระเป๋าเดินทางที่จะเปิดตัวเป็นพิเศษในปีนี้ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งมิติใหม่และช่วยขยายกลุ่มสินค้าภายใต้แบรนด์ Moleskine
ภาพ: Courtesy of Moleskine
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์