วันนี้ (11 กุมภาพันธ์) นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. แถลงสรุปผลการประชุม ศบค. ชุดใหญ่ ซึ่งมีหลายประเด็นให้ติดตาม โดยระบุว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้กำชับถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ 10 จังหวัดที่พบผู้ติดเชื้อรายใหม่สูงที่สุดประจำวันนี้ ประกอบไปด้วย กรุงเทพมหานคร, สมุทรปราการ, ชลบุรี, นนทบุรี, ภูเก็ต, สมุทรสาคร, นครปฐม, ราชบุรี, ปทุมธานี และนครศรีธรรมราช เร่งติดตามสถานการณ์เพื่อควบคุมตัวเลขผู้ป่วยให้ลดลง ซึ่งหากควบคุมได้อาจจะส่งผลให้มาตรการหรือตัวเลขต่างๆ ของประเทศลดลง โดยนายกรัฐมนตรีมีความเป็นห่วงและอยากให้ใช้มาตรการในระดับจังหวัดลงไปควบคุมดูแลให้อย่างดี
นพ.ทวีศิลป์กล่าวต่อไปว่า ช่วงนี้ยังพบการติดเชื้อในกลุ่มนักเรียนและเด็กเล็กเยอะขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา สิ่งเหล่านี้คือประเด็นที่หลายฝ่ายต้องพึงระวัง ซึ่งจำเป็นต้องให้วัคซีนเด็กกลุ่มนี้อย่างครอบคลุม โดยที่ประชุม ศบค. ชุดใหญ่ ได้รับทราบถึงประเด็นนี้เช่นกัน ส่วนกรณีความกังวลและความไม่สบายใจของผู้ปกครองต่อการพาบุตรหลานเข้ารับวัคซีน mRna ว่าอาจเกิดผลข้างเคียงต่างๆ
กรณีนี้ในที่ประชุมได้เห็นชอบในประเด็นดังกล่าว อนุมัติสูตร Sinovac ทั้งเข็มที่ 1 และเข็มที่ 2 โดยมีระยะห่างระหว่างเข็มที่ 4 สัปดาห์ รวมถึงสูตร Pfizer ทั้งฝาสีม่วงในเด็กโต และฝาสีส้มในเด็กเล็ก สามารถรับสูตรใดก็ได้ตามที่ประสงค์ เพราะทุกสูตรได้รับการรับรองผ่านหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จากผู้ผลิตวัคซีน ซึ่งทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และที่ประชุมได้เห็นชอบในส่วนนี้
ประเด็นต่อมา ทางกระทรวงสาธารณสุขได้เปิดเผยถึงเรื่องเตียงระดับสีแดง หรือระดับ 3 ซึ่งมีความสำคัญมากที่สุด ซึ่งตอนนี้มีการใช้เตียงในกลุ่มผู้ป่วยหนักไป 12.1% จากทั้งหมด 2,118 เตียง ใช้ไปเพียง 257 เตียง เพราะฉะนั้นศักยภาพในการรับผู้ป่วยหนักยังทำได้ดีอยู่
ส่วนระดับพื้นที่สถานการณ์ทั่วราชอาณาจักร หรือ ‘ระดับสี’ ของแต่ละจังหวัด รวมถึงมาตรการต่างๆ ที่ประชุม ศบค. ยังคงไม่มีการปรับการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด เพื่อตรึงมาตรการต่างๆ พร้อมขอความร่วมมือประชาชนให้ความร่วมมือเพื่อลดการติดเชื้อลดลงให้มากที่สุด และยังคงบรรยากาศที่จะพัฒนาเศรษฐกิจไปควบคู่กันต่อไป เพราะหากมีตัวเลขผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้นเป็นหลักหมื่นแบบวันนี้ บรรยากาศการท่องเที่ยวก็อาจจะต้องเปลี่ยนแปลงไป
ส่วนเรื่องการตรวจ ATK ที่ให้ประชาชนเข้าถึงได้สะดวก ทาง ศบค. ตั้งเป้าไว้ว่า ตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม เป็นต้นไป จะพยายามทำให้ชุดตรวจ ATK ที่ประชาชนใช้ตรวจเอง ซึ่งประเมินว่ามีการใช้ประมาณ 56,000 รายต่อวัน จะปรับราคาต่อชุดเหลือ 55 บาท จากเดิมราคา 80 บาท
และหากเป็น ATK โดยหน่วยบริการจะมีการใช้ 50,000 รายต่อวัน จะปรับให้มีราคาไม่เกิน 250 บาท จากเดิมราคา 300 บาท และ RT-PCR โดยหน่วยบริการใช้ประมาณ 23,000 รายต่อวัน จะเหลือราคา 900 บาท จากเดิม 1,200 บาท ซึ่งจะพยายามลดค่าใช้จ่ายให้มากที่สุด
“นายกรัฐมนตรีขอบคุณประชาชนทุกคน เพราะที่ผ่านมาทุกคนทำงานอย่างหนัก แต่ยังขอความร่วมมือให้เดินหน้ากันต่อ การ์ดอย่าตก พร้อมฝากเจ้าหน้าที่ภาครัฐออกมาตรการมาแล้วต้องควบคุมให้มีการปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในการบังคับใช้กฎหมาย หากผิดเป็นผิด สั่งปิดต้องปิด ไม่มีการละเว้นหรือเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีให้เห็น” นพ.ทวีศิลป์กล่าว
