×

โม ซาลาห์ ราชาลูกหนังในดวงใจชาวอียิปต์

20.03.2018
  • LOADING...

HIGHLIGHTS

9 Mins read
  • ไม่ใช่แค่บริตอสที่ล้มก้นจ้ำเบ้าหมดสภาพเท่านั้น หากแต่เป็นนักเตะวัตฟอร์ดทั้งทีมที่ไม่สามารถหยุด โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ เอาไว้ได้ในเกมนัดเปิดสนามระหว่างลิเวอร์พูล-วัตฟอร์ด ทำให้เกิดเสียงแซ่ซ้องก้องไปทั่วพิภพว่า โม ซาลาห์ คนนี้ไม่ได้ด้อยกว่า ลิโอเนล เมสซี ราชาลูกหนังโลกคนปัจจุบัน
  • ซาลาห์พัฒนาการเล่นอย่างรวดเร็ว ในวัย 16 ปี เขาได้โอกาสลงสนามนัดแรกกับเอล โมคาวลูน ในนัดที่พบกับเอล มานซูรา เมื่อเดือนพฤษภาคม 2010 โดยถูกเปลี่ยนตัวลงมาเป็นตัวสำรองในเกมที่จบลงด้วยการเสมอกัน 1-1 หลังจากนั้นแค่ 2 ปี เขากลายเป็นผู้เล่นของทีมชาติอียิปต์ไปเสียแล้ว
  • นับจากเกมแรกที่เขาได้โอกาสลงเล่นกับลิเวอร์พูล ในเกมกับวีแกน ในรายการอุ่นเครื่องพรีเมียร์ลีก เอเชีย โทรฟี ที่ฮ่องกง เมื่อเดือนกรกฎาคม 2017 ซาลาห์พัฒนาการเล่นของตัวเองขึ้นอย่างรวดเร็ว
  • คล็อปป์และซาลาห์ต่างแลกเปลี่ยนสิ่งที่ดีที่สุดซึ่งกันและกัน สิ่งนั้นคือ ‘โอกาส’ ที่คล็อปป์มอบให้ โดยเขาได้ ‘ความทุ่มเท’ ที่ไร้ขีดจำกัดของซาลาห์เป็นสิ่งตอบแทน

มิเกล บริตอส ผู้ที่เคยหักอกแฟนเดอะ ค็อป ทั้งสนามแอนฟิลด์ ในเกมนัดเปิดสนามด้วยประตูตีเสมอในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ กลับไม่สามารถที่จะทำได้แม้กระทั่งรักษาการทรงตัวเอาไว้ได้เมื่อถูกคู่แข่งของเขาลากผ่านอย่างง่ายดายเพียงแค่ 3 นาทีแรกของเกมการแข่งขัน

 

และไม่ใช่แค่บริตอสที่ล้มก้นจ้ำเบ้าหมดสภาพเท่านั้น หากแต่เป็นนักเตะวัตฟอร์ดทั้งทีมที่ไม่สามารถหยุด โมฮัมเหม็ด ซาลาห์ เอาไว้ได้

 

ภาพของซาลาห์ที่ได้บอลในกรอบเขตโทษและพยายามลากหนีตัวประกบถึง 3 คนไปทางขวา ก่อนล็อกกลับมาเข้าเท้าซ้ายและแต่งบอลก่อนจะง้างเท้ายิงผ่าน โอเรติส คาร์เนซิส นายทวารชาวกรีซของทีมเยือนเข้าประตูไป เป็นภาพสะท้อนที่ชัดเจนถึงความมหัศจรรย์บนปลายเท้าของดาวเตะที่ร้อนแรงที่สุดในเวลานี้

 

ผู้คนเปรียบเทียบจังหวะนี้กับภาพในตำนานที่ ดิเอโก้ มาราโดนา เผชิญหน้ากับ 6 นักเตะเบลเยียมที่ขวางหน้า

 

เสียงแซ่ซ้องก้องไปทั่วพิภพว่า โม ซาลาห์ คนนี้ไม่ได้ด้อยกว่า ลิโอเนล เมสซี ราชาลูกหนังโลกคนปัจจุบัน

 

บทเพลง Mo Salah, Mo Salah, Mo Salah Running down the wing ดังกระหึ่มและไม่มีทีท่าที่จะเงียบลงโดยง่าย

 

นี่คือผู้ชายที่ร้อนแรงดุจเปลวเพลิงกลางหิมะที่โปรยปราย The Egyptian King ผู้เรียบง่ายและกุมหัวใจของคนทั้งโลกในเวลานี้ครับ

 

 

จุดเริ่มต้นและจุดเปลี่ยนแรกของชีวิต

นากริก หมู่บ้านเกษตรกรรมที่อยู่ทางตอนเหนือของกรุงไคโรไปราว 100 ไมล์ คือที่ที่ ‘ราชาลูกหนัง’ ของชาวอียิปต์เกิดและเติบโตขึ้นครับ

 

ท่ามกลางผืนหญ้าสีเขียวที่กว้างใหญ่ ซาลาห์และเหล่าสมาชิกครอบครัวกับเพื่อนๆ ใช้เวลาในการเล่นฟุตบอลเคียงข้างกันมาโดยตลอด แม้จะเป็นการเตะฟุตบอลเล่นกันตามท้องถนนในเมืองก็ตาม

 

บางวันเขาก็เป็นโรนัลโด บางวันเขาก็เป็นซีเนดีน ซีดาน และในบางวันเขาก็เป็น ‘เจ้าชายหมาป่า’ ฟรานเชสโก ต็อตติ แห่งทีมโรมา คนที่ไอ้หนูโมฮัมเหม็ดในวันนั้นไม่มีวันรู้ว่าวันหนึ่งจะได้กลายมาเป็นเพื่อนร่วมทีมลงเล่นเคียงข้างกันในสนาม

 

พรสวรรค์ของซาลาห์เป็นที่เตะตาของใครหลายคนรวมถึงพ่อของเขา ที่เห็นจากการเตะฟุตบอลเล่นกันแถวบ้านว่าไม่มีใครที่แย่งบอลจากเท้าของเขาได้ (และเป็นปัญหาเดียวกับที่บรรดากองหลังในพรีเมียร์ลีกกำลังเผชิญในเวลานี้) จึงพยายามผลักดันเข้าทีมท้องถิ่นอย่างบาซียูน

 

แต่ความเก่งกาจอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอสำหรับนักเตะรุ่นเยาว์สักคนที่จะก้าวไปสู่จุดต่อไปในเส้นทางที่เด็กแทบทุกคนใฝ่ฝัน โชคดีที่ซาลาห์มีมากกว่านั้น เขามีโชค และเหนืออื่นใดคือความพยายามที่ไม่แพ้ใคร

 

ในเกมทดสอบฝีเท้านัดหนึ่ง แมวมองจากสโมสรเอล โมคาวลูน สโมสรที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในตักศิลาลูกหนังของอียิปต์ และปั้นซูเปอร์สตาร์มาแล้วมากมาย เดินทางมาเพื่อจับตามองดาวรุ่งคนหนึ่ง แต่คนที่สะดุดตาและสะดุดใจของเขากลับเป็นไอ้หนูเท้าซ้ายที่ไม่มีใครหยุดได้คนนั้น

 

และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางในเส้นทางของซาลาห์ กับการได้โอกาสศึกษาในตักศิลาลูกหนังของประเทศ

 

เพียงแต่การจะประสบความสำเร็จได้นั้นไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายดายครับ เพราะทุกอย่างบนโลกล้วนต้องมีสิ่งแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม

สิ่งที่ซาลาห์ต้องใช้แลกมาคือระยะเวลาในการเดินทางอย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง กับการเดินทางจากนากริกเพื่อไปไคโรในทุกเช้าเป็นเวลา 4 ชั่วโมง และขากลับจากการฝึกซ้อมที่เหน็ดเหนื่อยอีก 4 ชั่วโมง

 

ซาลาห์ทำแบบนี้สัปดาห์ละ 5 วัน แม้ว่าบ่อยครั้งที่เขาต้องโดดเรียนเพื่อที่จะกระโดดขึ้นรถบัสไปซ้อมได้ทันเวลาก็ต้องยอม

 

“ผมพลาดการไปโรงเรียนบ่อยๆ เพราะว่ามันเป็นทางเดียวที่จะทำให้ผมไปซ้อมได้ทันเวลา บางครั้งผมไปโรงเรียนแค่ 2 ชั่วโมง ช่วง 7-9 โมงเช้า จากนั้นผมก็ต้องขึ้นรถบัสไปซ้อมเลย

 

“แต่เพราะการเป็นนักฟุตบอลเป็นสิ่งที่ผมใฝ่ฝัน และในวันเวลาแห่งความเยาว์วัยนั้น เราทุกคนฝันในสิ่งที่ยิ่งใหญ่ทั้งนั้น”

 

เมื่อได้เข้าในทีมเยาวชนของเอล โมคาวลูน​ ซาลาห์เจอปัญหาใหม่ เมื่อเขาไม่สามารถที่จะทำผลงานได้ดีนักในตำแหน่งที่เขาได้รับมอบหมายจากโค้ช

 

ตำแหน่งนั้นไม่ใช่กองหน้า ปีก หรือกองกลาง หากแต่เป็นตำแหน่งแบ็กซ้ายที่ซาลาห์ ถูกมอบหมายจากโค้ชซาอิ เอล-ชิชินี ให้ซาลาห์ในวัย 15 ปีขณะนั้นลงเล่นกับทีมในรายการฟุตบอลลีกระดับเยาวชนในกรุงไคโร

 

ในเกมหนึ่งหลังจากที่เอล โมคาวลูน แพ้คู่แข่งยับถึง 4-0 ซาลาห์นั่งร้องไห้อยู่ที่มุมหนึ่งในห้องแต่งตัว เพราะในเกมนั้นเขาในบทบาทแบ็กซ้าย ได้โอกาสหลุดเดี่ยวเข้าไปดวลกับผู้รักษาประตูฝั่งตรงข้ามมากถึง 5 ครั้ง ถ้าซาลาห์เปลี่ยนโอกาสทั้งหมดให้เป็นประตูได้ ย่อมทำให้ทีมของพวกเขาเป็นฝ่ายกำชัยชนะได้ทันที แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือเขาทำไม่ได้แม้แต่ประตูเดียว

 

วันนั้น เอล-ชิชินี ให้เงินค่าขนมกับซาลาห์เพื่อเป็นการปลอบใจ พร้อมกับคิดหาคำตอบว่าทำอย่างไรเขาจะช่วยให้ไอ้หนูคนนี้เปล่งประกายได้มากกว่านี้

 

คำตอบที่พบคือ ซาลาห์ไม่ควรเล่นในตำแหน่งแบ็กซ้ายอีก เพราะกว่าที่เขาจะลุยมาถึงหน้าปากประตูได้เขาก็ไม่เหลือกำลังขาที่จะวางเท้ายิงได้อย่างแม่นยำแล้ว ดังนั้นตำแหน่งใหม่ที่ไอ้หนูคนนี้ควรได้เล่นคือ ‘ปีกขวา’

“ผมบอกกับเขาว่า ถ้าเขาเล่นตำแหน่งนี้ เขาจะเป็นดาวซัลโวได้อย่างแน่นอน” เอล-ชิชินี ยังจำเรื่องราวในวันนั้นได้ดี

 

จบฤดูกาลนั้น ซาลาห์ทำได้ 35 ประตู เขาเป็นดาวซัลโวของทีม และเป็นดาวเด่นที่ทุกคนจับตามอง

 

บุพเพสันนิวาสนำพา

ซาลาห์พัฒนาการเล่นอย่างรวดเร็ว ในวัย 16 ปี เขาได้โอกาสลงสนามนัดแรกกับเอล โมคาวลูน ในนัดที่พบกับเอล มานซูรา เมื่อเดือนพฤษภาคม 2010 โดยถูกเปลี่ยนตัวลงมาเป็นตัวสำรองในเกมที่จบลงด้วยการเสมอกัน 1-1

 

หลังจากนั้นแค่ 2 ปี เขากลายเป็นผู้เล่นของทีมชาติอียิปต์ไปเสียแล้ว ชื่อของเขาถูกกล่าวขานไปตลอดแนวแม่น้ำไนล์ และทุกอย่างเหมือนถูกลิขิตเอาไว้แล้วว่าเขาจะต้องก้าวไปสู่อีกจุดที่สูงกว่า

 

ในฤดูกาล 2011-2012 วงการฟุตบอลอียิปต์ต้องอยู่ในความมืดมนอนธการ เมื่อเกิดเหตุโศกนาฏกรรมที่สนามพอร์ท ซาอิด ที่ทำให้มีแฟนฟุตบอลเสียชีวิตถึง 74 ราย และบาดเจ็บอีกหลายร้อยคน ความสูญเสียที่เกิดขึ้นและภาพความรุนแรงในการปะทะกันระหว่างแฟนฟุตบอลทีมอัล-มาสรี และอัล อาห์ลี ทำให้ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่าลีกฟุตบอลจะต้องหยุดการแข่งขันทันที

 

ระหว่างนั้นซาลาห์ถูกเรียกตัวติดทีมชาติในชุดอายุต่ำกว่า 23 ปี ชุดที่เตรียมพร้อมลงแข่งขันในกีฬาโอลิมปิกที่กรุงลอนดอน โดยมีการจัดนัดอุ่นเครื่องกับเอฟซี บาเซิล สโมสรจากสวิตเซอร์แลนด์

 

ในเกมนั้นซาลาห์ถูกเปลี่ยนลงมาเป็นตัวสำรอง (อีกแล้ว) และเขาทำคนเดียว 2 ประตูช่วยให้ฟาโรห์น้อยเฉือนชนะบาเซิลที่วันนั้นมีทั้งเชร์ดาน ชาคิรี, ฟาเบียน ฟราย และ วาเลนติน สต็อกเกอร์ ด้วยสกอร์ 4-3

 

ถัดมา 1 เดือน บาเซิลประกาศคว้าตัวปีกชาวอียิปต์เข้ามาร่วมทีมทันที!

 

แต่ก็นั่นอีกแหละครับ ที่แม้บุพเพสันนิวาสหรือโชคชะตาจะนำพาเขาไปสู่ที่ใหม่ที่ดีกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาคือกำแพงชีวิตที่ใหญ่ หนา และสูงกว่าทั้งหมดที่เคยเจอ

 

การใช้ชีวิตลำพังในสวิตเซอร์แลนด์ ประเทศที่ไม่มีอะไรเหมือนกับบ้านเกิดที่อียิปต์เลยแม้แต่น้อยไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเด็กอายุแค่ 18-19 ปี

 

อย่าว่าแต่ภาษาสวิต-เยอรมัน ซาลาห์พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ทำได้เพียงแค่เดินเตร่บนถนนหนทางในบาเซิลในช่วงหลังการฝึกซ้อม มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากที่สุดของเขา

 

จนกระทั่งในเดือนมกราคม 2013 บาเซิลคว้าตัว โมฮัมเหม็ด เอลเนนี กองกลางชาวอียิปต์มาร่วมทีมอีกคน การมีเพื่อนทำให้ซาลาห์เริ่มกลับมาทำผลงานได้อย่างโดดเด่นใน 79 นัดที่ลงสนามให้กับทีม เขาทำได้ 20 ประตูและอีก 17 แอสซิสต์

 

หนึ่งในนั้นเป็นประตูที่เขายิงใส่เชลซีในเกมรอบรองชนะเลิศยูโรปาลีก เมื่อปี 2013 และเขายิงสิงห์บลูส์ได้อีก 2 นัดในรอบแบ่งกลุ่มยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีกด้วย

 

ลิเวอร์พูล (ทีมในดวงใจของเขา) เป็นทีมแรกที่พยายามติดต่อขอซื้อตัว ‘เมสซีแห่งอียิปต์’ อันเป็นสมญาที่เขาได้รับในขณะนั้น แต่การเจรจากลับล่าช้าและไร้วี่แววที่การเจรจาจะลุล่วงได้

 

ต่อให้หัวใจจะรักทีมสีแดงแห่งเมอร์ซีย์ไซด์แค่ไหน เขารู้ว่าชีวิตจริงมันยากและซับซ้อนเกินกว่าที่ใครจะได้ในสิ่งที่ต้องการตลอดเวลา

 

สุดท้ายเป็นเชลซีที่ทำแบบเดียวกันกับบาเซิล ที่ประกาศคว้าตัวซาลาห์มาร่วมทีมได้สำเร็จด้วยค่าตัว 11 ล้านปอนด์ในเดือนมกราคม 2014 เพียง 18 เดือนนับตั้งแต่ที่เขาย้ายจากอียิปต์มาสวิตเซอร์แลนด์

 

Sim Salah bis การร่ายมนตร์ของซาลาห์

ชีวิตของซาลาห์กับเชลซีเริ่มต้นเหมือนจะสวยงาม เขาทำประตูได้ในเกมที่ไล่ถล่ม อาร์เซนอล 6-0 และได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมในเกมที่พบกับสโต๊คและ​ซันเดอร์แลนด์

และอีกหนึ่งเกมที่เขาจดจำคือการไปเยือนแอนฟิลด์ ในเกมที่ทีมของเบรนแดน ร็อดเจอร์ส ต้องการชัยชนะเพื่อคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกให้ได้

“ตั้งแต่เด็กผมเป็นแฟนลิเวอร์พูลมาตลอด พวกเขาเป็นทีมโปรดของผม และการได้ลงเล่นในแอนฟิลด์มันเป็นอะไรที่พิเศษมากสำหรับผม บรรยากาศในเกมวันนั้นมันยอดเยี่ยมมาก ผมจำได้ว่าในวันนั้นผมบอกกับตัวเองว่าที่นี่เป็นสถานที่ที่พิเศษมากสำหรับการลงเล่นฟุตบอล”

แต่ในวันนั้นซาลาห์ได้โอกาสลงเล่น 60 นาที และเกมจบลงด้วยชัยชนะของเชลซีที่บุกมาคว้า 3 แต้มที่แอนฟิลด์ 2-0 โดยประตูแรกเกิดจากการ ‘ลื่น’ ของสตีเวน เจอร์ราร์ด และแน่นอนว่าเป็นเกมที่ดับฝันการคว้าแชมป์ลีกสมัยแรกของลิเวอร์พูลอย่างเจ็บปวดที่สุด

 

ขณะที่ชีวิตของเขากับเชลซียากขึ้นเรื่อยๆ โอกาสในการลงสนามยิ่งลดน้อยลงไปทุกวัน ความสัมพันธ์กับโฆเซ มูรินโญ แม้จะไม่เลวร้ายแต่ก็ไม่หอมหวาน

 

สุดท้ายซาลาห์ถูกส่งตัวไปให้กับฟิออเรนตินายืมใช้งานในฤดูกาลถัดมา ในวันที่ไม่มีใครคาดหวังอะไรจากนักเตะที่ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่าจิ้มพรวดวิ่งแข่งไปข้างหน้า

 

ณ เข็มนาฬิกานั้นไม่มีใครจินตนาการไว้ว่า ซาลาห์จะกลับมาเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมในสีเสื้อของทีมม่วงมหากาฬ แต่มันก็เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อเขากลายเป็นดาวเด่นประจำทีมอย่างรวดเร็วจนน่าประหลาดใจ

 

ซาลาห์ทำได้ 9 ประตูจากการเล่น 26 นัดให้ลา วิโอลา โดยหนึ่งในนั้นเป็นประตูที่ถูกพูดถึงอย่างมากกับการ ‘โซโล่’ คนเดียวจากแดนตัวเองเข้าไปยิงผ่าน จิอันลุยจิ บุฟฟอน ในเกมโคปปา อิตาเลีย รอบรองชนะเลิศนัดแรก

Gazzetta dello Sport หนังสือพิมพ์กีฬาที่ดังที่สุดในอิตาลีถึงกับพาดหัวตัวไม้ในวันนั้นว่า ‘Sim Salah bis’ ซึ่งมาจากคำร่ายมนตร์ของตัวละคร ‘ฮัดจิ’ ในการ์ตูนดังของอเมริกายุคปี 60s เรื่อง Jonny Quest

วินเชนโซ มอนเตลลา โค้ชโรมาในเวลานั้นยอมรับว่า บนโลกนี้อาจจะมีคนเดียวที่เร็วกว่าซาลาห์ คนนั้นคือ ลิโอเนล เมสซี

 

ในปีถัดมา ซาลาห์ถูกส่งให้ยืมตัวอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นทีมใหญ่กว่าอย่าง​โรมา ที่ทำให้เขาได้เล่นร่วมกับฟรานเชสโก ต็อตติ ขวัญใจในวัยเด็กอีกครั้ง

2 ฤดูกาลกับโรมาเป็นช่วงเวลาที่ซาลาห์เปล่งประกายต่อเนื่อง เขาเป็นกำลังสำคัญของทีม ทำได้ 29 ประตูจากการเล่น 65 นัด และเคยได้รับการโหวตให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมของสโมสรในฤดูกาล 2015-2016 ด้วย

เหนืออื่นใดคือการที่ซาลาห์ได้โอกาสลงเล่นนัดสุดท้ายกับ ‘จัลโล่รอสซี่’ ในเกมเดียวกับที่ต็อตติประกาศอำลาสนามในวันที่กรุงโรมต้องหลั่งน้ำตาเมื่อปีกลาย

โดยที่วันนั้นเขาไม่รู้ตัวเลยว่าเขาถูกจับตาจากสุดยอดโค้ชคนหนึ่งของวงการ และโค้ชคนนั้นเฝ้ารอที่จะดึงตัวเขากลับมาสู่ทีมที่เขาควรจะได้อยู่มานานกว่า 6 เดือนแล้ว

 

นกฟีนิกซ์ที่โบยบินกลับรัง

เจอร์เกน คล็อปป์ จับตามองซาลาห์มามากกว่า 6 เดือน ฟุตเทจการเล่นของสตาร์อียิปต์จำนวนมากมายมหาศาลผ่านสายตาของเขา และยิ่งทำให้ผู้จัดการทีมชาวเยอรมันมั่นใจว่า นี่คือคนที่เขาต้องการในแนวรุก ก่อนจะเดินเครื่องเจรจาและคว้าตัวมาร่วมทีมได้สำเร็จ

แต่สิ่งที่คล็อปป์เองก็ไม่เคยคิดเลยก็คือ เขาไม่คิดว่าซาลาห์จะเก่งกาจจนเข้าขั้นมหัศจรรย์ขนาดนี้

นับจากเกมแรกที่เขาได้โอกาสลงเล่นกับลิเวอร์พูลในเกมกับวีแกน ในรายการอุ่นเครื่องพรีเมียร์ลีก เอเชีย โทรฟี ที่ฮ่องกง เมื่อเดือนกรกฎาคม 2017 ซาลาห์ พัฒนาการเล่นของตัวเองขึ้นอย่างรวดเร็ว

จากคนที่คล็อปป์บอกว่า “ไม่รู้อะไรเลยว่าลิเวอร์พูลมีวิธีในการเล่นเกมรับอย่างไร” และต้องใช้เวลาในการเรียนรู้วิธีการเล่นในแบบ Gegenpressing ในวันนี้ ซาลาห์เข้าใจสไตล์การเล่นแบบนี้อย่างถ่องแท้ และในเกมกับวัตฟอร์ด นอกจาก 4 ประตูกับ 1 แอสซิสต์ที่ทำได้ เขายังลงมาไล่บอลจนถึงหน้ากรอบเขตโทษของแดนตัวเองตลอดเวลา

 

คล็อปป์และซาลาห์ต่างแลกเปลี่ยนสิ่งที่ดีที่สุดซึ่งกันและกัน สิ่งนั้นคือ ‘โอกาส’​ ที่คล็อปป์มอบให้ โดยเขาได้ ‘ความทุ่มเท’ ที่ไร้ขีดจำกัดของซาลาห์เป็นสิ่งตอบแทน

 

จากปีกที่เหมือนจะมีจุดเด่นแค่ความเร็วแต่ขาดความเฉียบขาดในการจบสกอร์ จนแฟนบอลทีมคู่แข่งแซวว่าเป็น Headless Chicken หรือไก่ไร้หัวที่วิ่งพล่านไปทั่ว

 

ซาลาห์ได้รับการขัดเกลาจนกลายเป็นปีกกึ่งกองหน้าที่เลือกใช้ความเร็วในจังหวะที่ถูกต้องเหมาะสม และจบสกอร์อย่างเฉียบคมอย่างน่าเหลือเชื่อ

 

ในวันนี้ ในบางภาพ บางสถานการณ์ ซาลาห์เหมือนภาพเงาของเมสซีมากขึ้นและมากขึ้นทุกที

ไม่ใช่แค่รูปร่าง เท้าซ้าย และสไตล์การเล่น แต่ยังรวมถึงการเป็นผู้เล่นที่พร้อมที่จะสำแดงเดชเพื่อช่วยทีมในเกมสำคัญ

 

เขาอาจจะเล่นไม่ออกในเกมกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ไม่ใช่ในเกมกับแมนเชสเตอร์ ซิตี้ เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งมีส่วนช่วยให้ลิเวอร์พูลกลายเป็นทีมแรกที่หยุดสถิติ ‘ไร้พ่าย’ ทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอลา เอาไว้ได้ในพรีเมียร์ลีก (และยังเป็นทีมเดียวจนถึงเวลานี้) และอีกหลายนัดที่ทีมเล่นไม่ออก ซาลาห์ก็พร้อมที่จะเป็นคนที่สร้างความแตกต่างให้กับทีม

เหมือนในเกมกับเลสเตอร์ ซิตี้ เมื่อเดือนธันวาคมปีกลาย ในวันที่อดีตแชมป์พรีเมียร์ลีกที่มหัศจรรย์ที่สุดไล่ต้อนจน ‘หงส์แดง’​ ใกล้เสียท่า ซาลาห์ก็โชว์การเล่นที่ไม่มีใครคาดคิดด้วยการพลิกบอลผ่าน แฮร์รี แม็กไกวร์ ปราการหลังร่างยักษ์ที่ทำได้ดีตลอดทั้งเกมจนเสียท่า และเข้าไปยิงประตูอย่างเหนือชั้น เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ทีมคว้าชัยชนะ

 

และแน่นอนประตูที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขากับการยิงลูกจุดโทษในเกมนัดสุดท้ายของศึกฟุตบอลโลกรอบคัดเลือกโซนแอฟริกา ในเกมที่พบกับคองโก

 

จุดโทษในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีที่ 94 ที่จะตัดสินว่าอียิปต์จะได้ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้ายของฟุตบอลโลกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปีหรือไม่

 

ซาลาห์อาสาแบกรับความหวังของคนทั้งชาติ โดยไม่หวั่นว่าหากทำไม่สำเร็จเขามีโอกาสจะกลายเป็น ‘ผู้ร้าย’ ในสายตาคนทั้งประเทศทันที

 

โชคดีที่เขานิ่งพอที่จะส่งบอลสู่ก้นตาข่ายได้สำเร็จ อียิปต์ได้ผ่านเข้าสู่ฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย และรอยยิ้มของเขาในวันนั้น คือรอยยิ้มของคนทั้งชาติในวันนี้ 🙂

 

ศูนย์รวมดวงใจชาวไอยคุปต์

ณ เข็มนาฬิกาเดินไป ความเก่งกาจของโม ซาลาห์ เป็นที่ประจักษ์แล้วในโลกฟุตบอล

 

แต่เขาไม่ได้เป็นแค่สิ่งมหัศจรรย์ในสนามครับ ในทางตรงกันข้าม ซาลาห์ได้กลายเป็นนักฟุตบอลผู้เป็นเจ้าของปรากฏการณ์ที่ไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนในอียิปต์

 

สิ่งที่เขาเป็นนั้นเป็นสิ่งที่แม้แต่ ลิโอเนล เมสซี หรือ คริสเตียโน โรนัลโด เองก็ทำไม่ได้

 

สิ่งนั้นคือการเป็น ‘ศูนย์รวมใจ’ ของคนทั้งชาติ

 

ซาลาห์ไม่เพียงแต่เป็นนักฟุตบอลที่เก่งกาจ แต่เขายังเป็น ‘คนดี’ ที่พร้อมเสียสละเพื่อประเทศชาติและบ้านเกิดเสมอ

 

ในวันที่ซาลาห์ทำประตูให้อียิปต์คว้าตั๋วไปฟุตบอลโลก อดีตประธานาธิบดีประกาศมอบรางวัลวิลล่าสุดหรูให้เขาอยู่สบายๆ ตามประสาฮีโร่ของแผ่นดิน แต่เขากลับปฏิเสธที่จะรับรางวัลนี้เพียงคนเดียว และขอให้นำเงินไปมอบเป็นการกุศลให้กับหมู่บ้านของเขา

 

และตลอดมา ซาลาห์บริจาคเงินอย่างมากมายเพื่อบ้านเกิดของเขา ทั้งโรงเรียน ศูนย์กลางชุมชน ซื้อของบริจาคให้แก่ผู้คนที่ยากไร้ รวมถึงบริจาคอาหารในช่วงเดือนแห่งการถือศีลอด เด็กๆ จำนวนมากได้รับของขวัญที่เขาซื้อมาให้

 

เขาใช้ค่าตอบแทนจากการเล่นฟุตบอลจากสโมสรลิเวอร์พูลราวสัปดาห์ละ 90,000 ปอนด์ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ประชากรจำนวน 15,000 คนในนากริกได้รับอยู่ราวสัปดาห์ละ 125 ปอนด์ มากมายหลายร้อยหลายพันเท่า เพื่อตอบแทนแผ่นดินเกิดและคนในบ้านเกิดของเขา โดยที่สิ่งเหล่านี้เขาไม่เคยคิดประกาศให้ใครรู้มาก่อน

 

แม้กระทั่งงานแต่งงานของเขา เขาก็จัดงานในบ้านเกิด โดยแขกที่ได้รับเชิญก็คือคนในชุมชนที่เขาคุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก ซึ่งซาลาห์เชื่อว่านี่คือสักขีพยานแห่งความรักที่ดีที่สุดระหว่างเขาและภรรยา ไม่ใช่เหล่าเซเลบริตี้ดาราที่ไหน

 

สิ่งเหล่านี้ทำให้เขาเป็น ‘ที่รัก’ ไม่ใช่เฉพาะที่นากริก แต่ยังรวมถึงที่ไคโรและทั่วทั้งอียิปต์

 

ในทุกนัดที่ลิเวอร์พูลลงแข่งขัน ชาวอียิปต์จะพร้อมใจหยุดทุกอย่างแล้วมานั่งหน้าจอช่วยกันเชียร์ซาลาห์กันทั่วประเทศ โดยไม่จำเป็นว่าพวกเขาจะชอบทีมอะไรมาก่อน

 

ไม่ว่าจะชอบทีมอะไร แต่ถ้าเป็นเกมที่ซาลาห์ลงสนาม วันนั้นพวกเขาคือเดอะ ค็อป (จำเป็น)

 

หาก ดิดิเยร์ ดร็อกบา คือคนที่สามารถหยุดสงครามกลางเมืองในไอวอรีโคสต์ได้ด้วยการเล่นฟุตบอลของเขา ซาลาห์ก็คือคนที่ทำให้ชาวอียิปต์มีความสุขในยุคสมัยของความยากลำบากหลังการปฏิวัติในประเทศ

 

เขาคือราชาในดวงใจที่ใครต่อใครหลงรักอย่างแท้จริง

 

อ้างอิง:

FYI
  • เวลานี้ ซาลาห์ทำสถิติใหม่ในการเป็นนักฟุตบอลที่ทำประตูสูงสุดในฤดูกาลแรกของลิเวอร์พูล โดยทำไปแล้ว 36 ประตู เหนือกว่า เฟร์นานโด ตอร์เรส ที่ทำไว้เดิม 33 ประตู
  • นอกจากนี้ซาลาห์ยังทำลายสถิติของผู้เล่นแอฟริกันที่ทำประตูในพรีเมียร์ลีกสูงสุดต่อฤดูกาลแซงหน้า ดิดิเยร์ ดร็อกบา ตำนานเชลซีไปเรียบร้อยแล้ว
  • สถิติสูงสุดที่ซาลาห์รอลุ้นจะทำลายต่อไปคือ สถิติทำประตูสูงสุดในฤดูกาลเดียวกับลิเวอร์พูล ที่เจ้าของเดิมคือ เอียน รัช ตำนานดาวยิงสูงสุดตลอดกาลที่ทำไว้ 47 ประตูในฤดูกาลเดียว (1983-1984)
  • เมื่อต้นปีที่ผ่านมาในช่วงที่คูตินโญย้ายออกจากลิเวอร์พูลไปบาร์เซโลนา เควิน เมอร์ฟีย์ (ชื่อจริง ริชี ชีฮาย) แฟนเดอะ ค็อป คนหนึ่งแต่งเนื้อเพลงโดยใช้ทำนองของเพลงฮิตในอดีต Sugar Sugar และกลายเป็นเพลงฮิตติดปากแฟนลิเวอร์พูลทันที โดยท่อนแรกร้องว่า Salah, ah Mane Mane and Bobby Firmino and we sold Coutinho But we’ve got Salah (วนไป)
  • อีกเพลงของซาลาห์ที่แฟนบอลแต่งให้เป็นเพลงฮิตเช่นกัน มีเนื้อร้องว่า Mo Salah, Mo Salah, Mo Salah Running down the wing, Salah la la la la la la, Egyptian King
  • ผลงานที่โดดเด่นทั้งกับทีมชาติและสโมสร ทำให้ซาลาห์ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำปี 2017 ของทวีปแอฟริกา
  • LOADING...

READ MORE





Latest Stories

Close Advertising
X