เพื่ออะไร?
น่าจะเป็นความรู้สึกของแฟนเดอะ ค็อปจำนวนไม่น้อยหลังจากที่ได้เห็นการให้สัมภาษณ์ของ โม ซาลาห์ ที่ระเบิดความรู้สึกออกมาแบบหมดไม่มีกั๊กหลังจบเกมที่ลิเวอร์พูลพลาดท่าโดน ลีดส์ ไล่ตามตีเสมอ 3-3 อย่างสุดเจ็บช้ำ
น้ำคำรุนแรง พุ่งเป้าชัดเจนไปยังอาร์เนอ สลอต นายใหญ่ชาวดัตช์ของทีมที่ตัดสินใจดร็อปเขาพ้นจากทีมตัวจริงเป็นเกมที่ 3 ติดต่อกัน
ไม่มีใครเคยทำกับโม ซาลาห์แบบนี้ที่นี่ และเขาไม่ต้องการจะเป็นฝ่ายที่อดทนข้างเดียวอีกต่อไป
จะพังก็พังไปด้วยกัน
แต่ในความพังที่กำลังเกิดขึ้น อะไรคือเหตุและผลที่ทำให้ซาลาห์และสลอต ต่างอยากให้อีกคนต้อง Walk alone เดินกลับเพียงลำพัง?
ความจริงลิเวอร์พูลก็เจ็บช้ำมากอยู่แล้ว
ในเกมที่เหมือนพวกเขาจะเก็บชัยชนะได้อย่างง่ายดาย ด้วยการออกนำลีดส์ไปก่อนถึง 2-0 ที่เอลแลนด์ โรด จากอูโก เอคิติเก ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าคนที่ควรจะเป็นตัวจริงในแดนหน้าของทีมเวลานี้คือเขา ไม่ใช่อเล็กซานเดอร์ อิซัค
แต่สุดท้ายความผิดพลาดมากมายทำให้เกมจบลงด้วยการโดนไล่ตามตีเสมอในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
‘Arne Time’ ที่เคยทำให้แฟนลิเวอร์พูลมีความสุข กลับมาเป็นฝันร้ายอีกแล้ว
3 นัดหลังสุดที่เคยมีการมองว่าเป็นโอกาสแก้ตัวครั้งสุดท้ายของสลอต ว่าจะรักษาเก้าอี้ประจำตำแหน่งของเขาไว้ได้หรือไม่ ผ่านไปด้วยผลงานที่ไม่น่าประทับใจนัก ชนะ 1 เสมอ 2 โดยที่ทีมไม่ได้ดูดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญสักเท่าไร
ทั้งๆ ที่เขาตัดสินใจเลือกเล่นหมากตาที่เสี่ยงที่สุดแล้วด้วยการดร็อปนักเตะ 1 ใน 2 คนที่อยู่ในสถานะ ‘Indispensable’ หรือ ‘ไม่สามารถแตะต้องได้’ ของทีมอย่างโม ซาลาห์ พ้นจาก 11 ตัวจริงทั้ง 3 นัด
และการเดินหมากตานี้ก็นำมาสู่ฉากที่น่าจะมีคนจำนวนไม่น้อยคิดว่าอาจจะเกิด แต่ไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้นเร็วขนาดนี้
แต่แค่ 3 นัดความอดทนของซาลาห์ก็ไม่เหลือแล้ว

ที่เอลแลนด์ โรด บริเวณพื้นที่ Mixed zone หรือพื้นที่ที่จัดให้สื่อมารอเก็บสัมภาษณ์กับนักฟุตบอลในระหว่างการเดินกลับขึ้นรถบัสกลับ คือพื้นที่สมรภูมิที่ ‘Egyptian King’ ตัดสินใจวางระเบิดลูกใหญ่เอาไว้ในแบบเดียวกับ Bomberman
ซาลาห์ เป็นนักเตะที่ขึ้นชื่อว่าแทบไม่ให้สัมภาษณ์กับสื่อโดยเฉพาะบริเวณ Mixed zone ซึ่งบทสนทนาจะค่อนข้าง Raw หรือดิบกว่าการนั่งในห้องแถลงข่าวเพราะจะไม่มีเจ้าหน้าที่สื่อมาประกบติด แต่หลังจบเกมเมื่อคืนนี้เป็นหนแรกที่เขาตัดสินใจให้สัมภาษณ์กับสื่อ หลังจากที่เปิดปากครั้งล่าสุดในช่วงเรียกร้องขอสัญญาฉบับใหม่
สิ่งที่เก็บไว้ในใจถูกระบายออกมาจนหมดไม่เหลือ
ประเด็นสำคัญที่พูด โดยหลักแล้วคือความรู้สึกหงุดหงิดผิดหวังที่ถูกปฏิบัติเหมือนกับให้เป็น ‘แพะรับบาป’ ผลงานที่ตกต่ำระดับดิ่งเหวของลิเวอร์พูล ซึ่งเป็นความดิ่งที่ไม่มีใครคาดคิด
3 นัดที่ผ่านมาซาลาห์ถูกสลอต ดร็อปให้เป็นตัวสำรอง และมีโอกาสลงเล่นเพียงแค่ 1 นัดคือการถูกเปลี่ยนตัวลงมาในเกมที่พบกับซันเดอร์แลนด์ โดยมีเวลาอยู่ในสนาม 45 นาที
ทั้งๆ ที่ตลอดช่วงระยะเวลา 8 ปีที่อยู่กับลิเวอร์พูลมาเขาได้ลงสนามต่อเนื่องแทบไม่เคยหายหน้าไปไหน
โดยที่เจ้าตัวมองว่าสิ่งที่เขาทำเพื่อสโมสรตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา โดยเฉพาะในฤดูกาลที่แล้วที่เป็นฮีโร่ที่พาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้สำเร็จ มันมากพอที่จะทำให้เขาควรได้รับการปฏิบัติที่ดีกว่านี้
“ผมทำเพื่อสโมสรมามาก” คือหนึ่งในคำพูดสำคัญของคิงโม
มันทำให้นึกถึง 2 เหตุการณ์ที่ซาลาห์เคย ‘งัด’ กับสโมสร ครั้งหนึ่งเกิดขึ้นในปี 2022 ที่จบด้วยการต่อสัญญาฉบับใหม่ของเขาด้วยคำว่า ‘Mo Stay’ และอีกครั้งเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมากับการจัดฉากถ่ายทำการต่อสัญญาครั้งยิ่งใหญ่ในแอนฟิลด์
โดยสถานะแล้วซาลาห์ คือหนึ่งในตำนานผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของสโมสร โดยเฉพาะในยุคโมเดิร์น ในระดับที่หากมีสายเลือดสเกาเซอร์ไม่ใช่ชาวต่างชาติ เขาอาจจะถูกยกให้ยิ่งใหญ่กว่าสตีเวน เจอร์ราร์ด กัปตันทีมตลอดกาลของแอนฟิลด์ก็ได้
แต่สิ่งที่เขาทำวันนี้อาจจะเป็นการกระทำที่ทำให้เขาเสียใจในอนาคต
การออกมาพูดแบบตรงไปตรงมาถึงความสัมพันธ์ระหว่างเขากับอาร์เนอ สลอต ว่าเป็นเหมือนคนไม่รู้จักกัน ถ้าเป็นเกม Bomberman คือการกดปุ่มเพื่อวางลูกระเบิดสีดำที่ถูกจุดชนวนเอาไว้เรียบร้อย
ที่เหลือคือรอเวลาให้ระเบิดทำงาน โดยมีเป้าหมายอยู่ที่ตัวของกุนซือชาวดัตช์ที่เปลี่ยนจากเจ้านายมาเป็นศัตรู
แต่สิ่งที่ซาลาห์ทำนั้น – ซึ่งเชื่อว่ามันผ่านการคิดมาอย่างถ้วนถี่แล้ว แต่เลือกที่จะทำแบบนี้ – ในอีกด้านมันก็มีโอกาสที่เขาจะตกหลุมพรางและโดนลูกหลงจากสะเก็ดระเบิดและประกายไฟไปด้วย

สำหรับสลอต ลำพังชีวิตของเขาก็ยากพออยู่แล้วและยิ่งนับวันก็ยิ่งอยู่ยากเพราะผลงานมันสวนทางกับความคาดหวังแบบสุดกู่ ต่อให้เป็นเดอะ ค็อปคนที่ใจกว้างดังแม่น้ำฮวงโหก็ย่อมเกิดคำถามว่าลิเวอร์พูลควรจะปล่อยให้เขาคุมทีมต่อไปแบบนี้จริงๆ งั้นหรือ
ทีมเล่นกันแบบไร้แวว เกมรับพังพินาศ หนักสุดคือการบริหารจัดการตัวผู้เล่น ที่ต่อให้มองจากดวงจันทร์ก็เห็นว่ามีระบบ Favouritism ลูกรัก-ลูกชัง
อย่าว่าแต่โมเลย ลองมองนักเตะอย่าง เฟเดริโก คิเอซา, วาตารุ เอ็นโด, โจ โกเมซ สิ ไหนจะเด็กหนุ่มที่อนาคตควรจะสดใสอย่าง ริโอ นูโมฮา, เทรย์ นีโอนี
ไม่นับคนที่ถูกปิดกั้นอย่าง ฮาร์วีย์ เอลเลียตต์, ไทเลอร์ มอร์ตัน, เบน โด๊ก และกลุ่ม ‘Klopp’s kid’ ที่ถูกขายแทบยกเข่ง ทั้งๆ ที่หลายคนมองว่าเด็กเหล่านี้มีโอกาสจะก้าวขึ้นมาเป็นอนาคตของทีมได้
ปัญหาสารพัดเกิดขึ้นในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา โดยที่มันชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่าสลอต อาจจะไม่มีความสามารถมากพอที่จะแก้ไขปัญหาและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ไหว เวลาของเขาลดน้อยลงเรื่อยๆ เหมือนกัน
ความเป็นไปได้ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งนายใหญ่ในแอนฟิลด์ – ต่อให้ลิเวอร์พูลจะเป็นทีมที่ภาคภูมิใจกับการ ‘ซัพพอร์ต’ คนในตำแหน่งเสมอ และสลอตเองก็เพิ่งจะพาทีมเป็นแชมป์เมื่อ 7 เดือนก่อน – มีโอกาสสูงมากขึ้นเรื่อยๆ
พูดตามตรง ซาลาห์ไม่จำเป็นต้องทำอะไรเลยก็ได้ เพราะคนที่เขามองว่าเป็นศัตรูก็กำลังจะแพ้ภัยตัวเองอยู่แล้ว
และพูดให้ชัด การที่ซาลาห์ทำแบบนี้ก็เป็นการทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาสร้างมา
Legacy ไม่ได้มีความหมายแค่แชมป์หรือจำนวนประตู จำนวนแอสซิสต์ เพราะ Legacy ที่แท้จริงคือสิ่งที่ผู้คนจะตัดสินเองว่าคุณ ‘ทำเพื่อคนอื่น’ มากแค่ไหน
โดยเฉพาะในเวลาที่ทีมต้องการใครสักคนที่ทำเพื่อทุกคน ซาลาห์เป็นคนนั้นได้แต่เขาเลือกที่จะไม่เป็น

แต่หากลองมองย้อนกลับไป ไม่ใช่แค่ในช่วงของการพยายามเรียกร้องสัญญาที่ตัวเองต้องการ แต่ก่อนนั้นเราจะพอมองเห็นเค้าลางอยู่แล้วว่าซาลาห์ เป็นคนที่มีตัวเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ก่อนนี้ก็เคยแสดงความไม่พอใจเจอร์เกน คล็อปป์ ที่ดร็อปเขาไว้ข้างสนาม (แม้ว่าคล็อปป์จะยืนยันว่าเรื่องจบไม่มีอะไรก็ตาม)
ซาลาห์ก็เป็นแบบนี้มานานแล้ว และยิ่งนานอีโก้ของเขาก็สูงเสียดฟ้าขึ้นเรื่อยๆ สวนทางกับสัจธรรมของชีวิตที่สภาพร่างกายโรยราลงเร็วจนน่าใจหาย
มันทำใจได้ยาก แต่มันมีวิธีอีกตั้งมากมายที่จะทำ
เจอร์ราร์ดเองก็เคยตกอยู่ในสภาพคล้ายๆ กันในช่วงฤดูกาลสุดท้ายของเขาที่แอนฟิลด์ แต่ตัดสินใจอดทนอดกลั้นและเป็นฝ่ายเอ่ยปากขอไปจากสโมสรหลังจบฤดูกาล ทำให้ได้รับการอำลาที่ยิ่งใหญ่สมเกียรติ และยังคงเป็นที่รักของทุกคนจนถึงวันนี้
ส่วนซาลาห์ เขาอยากจะทำแค่โบกมืออำลาแฟนๆในเกมพรีเมียร์ลีกนัดหน้ากับไบรท์ตันอย่างนั้นหรือ?
ถึงเขาจะบอกว่าทำอะไรให้ลิเวอร์พูลมามากมาย แต่สิ่งสุดท้ายที่เขาควรทำคือการเป็น ‘แบบอย่าง’ ที่ดีให้กับทุกคนจนถึงวันสุดท้าย
อยู่ให้รัก จากให้อาลัย
แต่ตอนนี้มันอาจจะเป็นแบบนั้นไม่ได้แล้ว อย่างน้อยความรู้สึกก็ไม่เหมือนเดิม
การออกมาวางระเบิดกันแบบนี้ มันเป็นการเร่งปฏิกิริยาอย่างยิ่งยวดและบีบให้สโมสรจำเป็นต้องตัดสินใจ
เรื่องนี้ไม่ได้แค่วัดความสามารถและบารมีของสลอต ซึ่งโดนท้าทายหนักที่สุด
แต่มันวัดไปถึงการตัดสินใจในสถานการณ์วิกฤติ ฝ่ายบริหารของลิเวอร์พูลจะจัดการ Crisis management ครั้งนี้อย่างไร
ภาพลักษณ์ที่สร้างมาดีมันไม่เหลือแล้ว ทีมแตกเป็นเสี่ยง และไม่รู้ว่าจะประสานรอยร้าวที่เกิดขึ้นได้หรือไม่

Fenway Sports Group จะเลือกทางไหน? ฉากทัศน์ที่อาจเกิดขึ้นในเรื่องนี้มีความเป็นไปได้หลายแบบ
1. ซาลาห์และสลอต ปรับความเข้าใจกันใหม่
2. ซาลาห์ไปจากทีม โดยที่อาจจะย้ายออกในช่วงตลาดการซื้อขายรอบฤดูหนาวในวันที่ 1 มกราคม
3. สลอตไปจากทีม เริ่มมีการพูดถึงการเปลี่ยนแปลง มีชื่อคนที่ถูกโยงเข้ามาเกี่ยวข้องทั้ง เจอร์ราร์ด, จอนนี ไฮติงกา อดีตมือขวาของสลอต และชาบี อลอนโซ ที่กำลังระส่ำกับเรอัล มาดริด
4. อยู่กันไปแบบตึงๆ แบบนี้ โดยที่ซาลาห์ อาจจะไม่ได้กลับเข้ามาสู่ทีมอีกเลยจนกว่าสลอตจะไป และต่อให้สลอตไป คนอื่นในทีมจะเปิดใจยอมรับโมอีกครั้งได้ไหม?
5. ไปเถิดทั้งคู่ ไปสู่ประตูสวรรค์
ไม่ว่ามันจะออกทางไหนก็ตาม ลิเวอร์พูลที่เคยเกรียงไกรในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
แต่คำถามสุดท้ายที่อยากฝากไว้ชวนคิดคือ “ใครบางคนที่อยากให้ผมไปจากทีม” ที่ซาลาห์พูดนั้นหมายถึงใคร
โค้ช
เพื่อนสักคนในทีม
หรือใครสักคนที่อยู่หลังฉาก
เราอาจได้รู้คำตอบที่ชัดเจนหลังสิ้นเสียงกัมปนาท เปลวไฟ ฝุ่นควัน และเศษซากของวันคืนที่ดีในแอนฟิลด์
ในอีกหนึ่งหน้าของประวัติศาสตร์ที่คาดไม่ถึงของลิเวอร์พูล


