ถ้าความ ‘ดื้อ’ ของใครสักคนหนึ่งคือกิริยาอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเกิดความรู้สึกหงุดหงิด อย่างน้อยที่สุดหนังเรื่อง มิสเตอร์ดื้อ กันท่าเหรียญทอง ก็ทำหน้าที่นั้นกับเราได้ในระดับที่ถือว่าประสบความสำเร็จเลยทีเดียว
ไม่ใช่ความดื้อของตัวละครที่ทำให้เรารู้สึกตะหงิดใจ แต่เป็นความดื้อในการพยายามใส่ความ ‘ตลก’ เข้ามาในทุกช่วง ทุกอารมณ์ ทุกเวลาของหนัง โอเค เราเข้าใจว่านี่คือหนังคอเมดี้ หากแต่ถ้าหนังมุ่งจะเอาตลกอย่างเดียว เราก็รู้สึกว่ามันน่าเสียดายประเด็นบางอย่างที่หนังเริ่มต้นเอาไว้แล้วก็ทิ้งมันไปอย่างไม่ไยดี
โดยเฉพาะการออกอาการหวง น้าน้ำ (เก้า-สุภัสสรา ธนชาต) ของ ดื้อ (นน-ชานน สันตินธรกุล) ที่คอยกันท่ามนุษย์ทุกคนที่คิดจะเข้ามาจีบน้าสาวของตัวเอง และต่อให้มองจากดาวอังคารก็รู้ได้ไม่ยากว่าหลานชายแท้ๆ คนนี้คิดอะไรที่ลึกซึ้งเกินกว่าความเป็นน้า-หลานอยู่แน่ๆ
ยอมรับเลยว่านี่คือประเด็นสำคัญที่ทำให้เราสนใจหนังเรื่องนี้เป็นพิเศษ เพราะการวางความรู้สึกของตัวละครที่รักญาติของตัวเอง ที่เหมือนเส้นขีดของคำว่า ‘เหมาะสม’ ด้วยขนบธรรมเนียมของสังคมเอาไว้ตั้งแต่แรก ทำให้เราอยากรู้มากๆ ว่าผู้จะกำกับจะเลือกวิธีคลี่คลายปมนี้ของตัวละครนี้ออกมาในทิศทางไหน
แต่อย่างที่บอกไปตอนต้นว่าสุดท้ายประเด็นที่เรารู้สึกว่าน่าสนใจทั้งหมด ทั้งความรัก ความฝัน กรีฑา อาชีพ เพื่อน การออกจากบ้านมาพิสูจน์ตัวเองของเด็กหนุ่ม ฯลฯ ถูกคั่นอารมณ์อยู่เสมอจากมุกที่ทั้งตลกและไม่ตลกปนๆ กันไปตลอดเวลา
แต่ถ้าตัดความรู้สึกและความคาดหวังส่วนตัวออกไป แล้วมองให้เป็นหนังคอเมดี้แบบ 100% มิสเตอร์ดื้อ กันท่าเหรียญทอง ก็อาจจะทำหน้าที่มอบเสียงหัวเราะและความบันเทิงแบบตรงไปตรงมา ไม่ต้องคิดอะไรมากได้สำหรับคนที่ชอบหนังและทางมุกแบบนี้เป็นทุนเดิม แต่บางมุก เช่น มุกที่เกี่ยวกับขน ก็อาจถึงขั้นเป็นเดอร์ตี้โจ๊กที่เกินขั้นความตลกของบางคนได้เหมือนกัน
ทางมุกที่เกิดขึ้นเพราะคาแรกเตอร์และนิสัยสุดแปลกของตัวละคร ซึ่งจุดนี้ต้องบอกเลยว่าถึงแม้บางมุกอาจจะไม่ได้ตลกด้วยตัวเอง แต่ได้การแสดงทั้งสีหน้า แอ็กติ้ง จังหวะการพูดคมๆ ที่ตรงจังหวะของ โจ๊ก โซคูล ซึ่งรับบทเป็น พี่แมน และบท เจ๊แอน ของ รัศมีแข ช่วยเรียกเสียงหัวเราะขึ้นมาได้
ส่วนคู่พระ-นางก็ถือว่าทำหน้าที่ของตัวเองและช่วยแบ่งเบาภาระความตลกที่ถูกยัดเข้ามาตลอดเวลาได้ดีพอสมควร
เก้า สุภัสสรา เข้ามาช่วยด้วยความสวย น่ารัก และเสน่ห์ของความเป็นผู้หญิงที่ออร่าจับมากๆ คือแค่เข้าฉากมาก็พอ ไม่ต้องพูด ไม่ต้องทำอะไรก็ได้ แค่ยิ้มหรือหัวเราะอย่างเดียวก็จบแล้ว
แต่ก็มีสิ่งที่ทำให้เราค่อนข้างเป็นห่วงอยู่พอสมควร คือเราจะเห็นภาพลักษณ์ ความน่ารัก และจังหวะแอ็กติ้งแบบนี้ของเก้าติดๆ กันมาสักระยะหนึ่งแล้ว เพราะถ้าเก้าจะยืนระยะในฐานะนักแสดงให้ยาวกว่านี้ การรับบทแนวอื่นที่แตกต่างออกไปและบทที่เปิดโอกาสให้เธอได้แสดงทักษะด้านการแสดงมากกว่าความสวย ก็เป็นสิ่งที่เราอยากให้เกิดขึ้นมากกว่านี้เหมือนกัน
ส่วน นน ชานน นั้นได้พิสูจน์ตัวเองอีกครั้งว่าเขาคือนักแสดงวัยรุ่นที่ครบเครื่องที่สุดคนหนึ่ง คือหน้าตาดี เล่นคอเมดี้ได้ เซอร์วิสแฟนคลับด้วยซิกซ์แพ็กได้แบบไม่ต้องอายใคร และเมื่อถึงเวลาดราม่า (โดยเฉพาะช่วงท้าย) ก็เด็ดขาด เฉียบคม ทำให้ลืมภาพบุคลิกนิ่งๆ ดื้อๆ ตอนต้นเรื่องไปได้เลย
ความน่าเสียดายอย่างเดียวคือนายดื้อของนนค่อนข้างเป็นความดื้อที่มีมิติให้เล่นไม่มากเท่าไร ก็คือรักน้า หวงน้า แล้วก็พยายามกันท่าผู้ชายคนอื่นๆ ให้ได้มากที่สุด แล้วกราฟของตัวละครก็เป็นแบบนั้นไปตลอดทั้งเรื่อง จนกระทั่งช่วงท้ายๆ อย่างที่บอก นนถึงจะได้แสดงมิติ ‘บางอย่าง’ ของตัวละครออกมา
ซึ่งต้องไปดูในหนังว่าบางอย่างนั้นคืออะไร แต่ก็ต้องบอกว่าการเกิดขึ้นของบางอย่างนั้นมันออกมาช้าเกินไปพอสมควรสำหรับเรา
พิสูจน์อักษร: ภาสิณี เพิ่มพันธุ์พงศ์